วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Hong Kong 2nd Day Aug 20, '07 6:07 AM

ตื่นขึ้นมาอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็จัดการต้มน้ำชงบะหมี่ที่ซื้อมาเมื่อวานแกะกล้องดูอ้าว...ไม่มีซ้อม ไม่มีจะเกียบให้แล้วตรูจะกินงัยวะเนี่ย ไม่ได้การล่ะเดินลงไปข้างล่างเข้าไปร้านเซเว่นร้านเดิม เดินหาดูช้อน หรือตะเกียบ ไม่มีเลย เมื่อคืนมีเด็กๆ เฝ้าอยู่พูดภาษาอังกฤษได้ แต่เช้านี้เป็นผู้เฒ่าชาย หญิงสองคนพูดภาษาปะกิดไม่ได้เลย ไม่รู้จะทำงัย ก็เลยสั่งขนมจีบ เพราะสังเกตตรงเคาน์เตอร์ด้านในที่ขายหนมจีบมีตะเกียบอยู่ เค้าก็จดัแจงเอาขนมจีบใส่ถ้วยโฟมให้ พร้อมเอาไม้เสียบๆ ลงไปสองอันให้เราจิ้ม รีบโบกมือใหญ่เลย ไม่เอาๆ ชี้ไปที่ตะเกียบ ก็เลยได้ตะเกียบมา 1 คู่ กลับขึ้นไปกินบะหมี่สมใจ


หลังจากเสร็จมื้อเช้าก็เดินทางออกจากโรงแรมเพื่อจะไปไหว้พระวัดหวังต้าเซียนกัน ขึ้นรถไฟใต้ดินจากสถานี Jordan ไปลงที่ Mong Kok เปลี่ยนจากสายสีแดง เป็นสายสีเขียว ไปลงสถานี Wong Tai Sin ชื่อสถานีเหมือนชื่อวัดเลย รับรองขึ้นถูกสายไม่มีทางหลง ตอนออกจากโรงแรมฝนตกปรอยๆ พอไปถึงวัดเท่านั้แหละแดดจ้าเลย แดดแรงจริงๆ เลยวันนี้ น่าจะไปดิสนีย์แลนด์กันนะเนี่ย แต่ตัดสินใจมาวัดแล้วนี่ก็เลยเดินเข้าไปไหว้พระ ถ่ายรูป บริเวณวัดคนเยอะมาก เพราะทุกทัวร์ที่มาฮ่องกง ก็ต้องพาลูกทัวร์มาไหว้พระกันที่นี่ คนก็เยอะ ร้อนก็ร้อน แถมจุดธูปกันคนละกำใหญ่ๆ ควันคลุ้งไปหมด แสบตาเอามากๆ เค้าอุตสาห์เขียนป้ายเอาไว้ว่าให้จุดธูปคนละ 3 ดอกพอ เห็นแต่ละคนเชื่อฟังกันจริงๆ จุดคนละกำใหญ่ๆ เลย ซื้อมากำเท่าไหร่ก็จุดมันหมดทั้งกำนั่นแหละ โอ้วว...แม่เจ้าช่างแสบตาจริงๆ แถมไม่กล้าเดินเข้าใกล้เพราะแต่ละคนถือกันไม่ระวังเอาซะเลย กลัวมันจะไหม้ผมจริงๆ เลย ใช้เวลาที่วัดไปครึ่งวันจริงๆไหว้พระแป๊บเดียวแหละ แต่เดินรอบๆ ถ่ายรูปก็นานโขอยู่


 


จากวัดหวังต้าเซียน ก็ไปต่อที่ Nan Lian Garden เค้าว่ากันว่าเป็นสำนักชี จากสถานี Wong Tai Sin ไปลงที่สถานี Diamond Hill แค่ 1 สถานีเองลงรถไฟใต้ดินออกมาเจอห้างชื่อ Plaza Hollywood เดินไปที่ซุปเปอร์สำรวจราคาเชอรี่ เดินเข้าร้าน G2000 แวะเข้าร้าน 2% ร้านนี้เสื้อผ้าเค้าแนวดี กะจะซื้อเอี๊ยมชุดนึงสวยดี แต่จะไปวัดไม่อยากหิ้วของ ก็เลยว่าจะกลับมาซื้อหลังจากไปวัดกลับมา ตัดสินใจกินกลางวันที่ห้างนี้เพราะดูแล้วมันมี Food Court สั่งบะหมี่เนื้อมากิน ก็ชี้เอาตามรูปแหละ เหมือนเคย คนขายพูดภาษาปะกิดไม่ได้ เมนูอาหารที่โชว์ทุกร้านมีแต่ภาษาจีน ดูรูปเอาแหละว๊า อันไหนดูแล้วน่าจะอร่อย ก็ชี้ๆ เอา

 
กินเสร็จออกจากห้างเดินไปอีกหน่อย ข้ามถนนไปก็เจอสำนักชี Nam Lian Garden สวยดี แต่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ บางส่วนยังปิดซ่อม ในส่วนที่เป็นสวนเค้าจัดได้สวยงามดี แต่ยามที่นี่ดุฉิ๊หาย แค่นั่งลงบนทางเดินเพื่อหยิบแล้วเปลี่ยนเลนส์ มันก็เดินมาไล่ ไม่ให้นั่งพูดเป็นภาษาจีนด้วยฟังไม่ออก ก็เลยถามมันว่าอะไรเหรอ มันก็ตอบเป็นภาษาปะกิดมาว่า No Shit กรูไม่ได้ขี้ว้อย เปลี่ยนเลนส์เฉยๆ ไม่ว่าจะนั่งลงตรงไหนที่ไม่มีเก้าอี้ให้มันจะต้องเดินมาบอกไม่ให้นั่งๆ เอากระเป๋าวางลงแล้วก้มลงไปนั่งหยิบเลนส์แค่นั้นโดนไล่ทุกที พอไปถึงตรงที่ให้นั่งพัก เราเมื่อยขายกขาขึ้นมานวดมันก็เดินมาบอกอีกแล้วห้ามนั่งยกขา อะไรจะขนดนั้นเซ็งมัน เลยรีบดูแล้วรีบออกไป
 


จากสำนักชีก็เดินกลับไปขึ้น MTR ต่อ ว่าจะขึ้นไปซื้อเอี๊ยมชักขี้เกียจแล้วก็เลยไม่เอา จากสถานี Diamond Hill ก็นั่งย้อนกลับมาลงที่ Mong Kok แล้วมาเปลี่ยนเป็นสายสีแดง ลงสถานี Central ถ่ายรูปตึกแถวนั้นซักพัก ไม่รู้จะไปไหนต่อดี เห็นมีรถรางวิ่งผ่านไปมา ชักอยากนั่งดู เอาวะขึ้นไปก่อน ไปไหนช่างมัน อยากจะนั่งดู การขึ้นรถรางจะต้องขึ้นจากทางด้านหลัง เวลาลงให้ลงทางด้านหน้า จ่ายเงินตอนขาลงใช้บัตร Octopus ได้ นั่งไปได้ซักพักเบื่อแล้วก็เลยลง แล้วกลับมาที่ย่าน Central เดินผ่านขึ้นไปทาง Lan Kwai Fong อย่างช้าๆ ไม่รีบ จนผ่านถนน Queen's Road Central เดินต่อเพื่อไปยังทางขึ้นของบันไดเลื่อน จากลักษณะของพื้นที่ เกาะ Hongkong ที่เป็นภูเขาไปซะครึ่งเกาะ ทำให้พื้นที่ในส่วนกลางเป็นสันเขาเกิดทางชันตามพื้นที่ โดยจุดเริ่มต้นของ


บันไดเลื่อนนี้จะเริ่มจากถนนหลักที่รถรางวิ่งผ่านในย่าน Central (Des Voeux Road) ทางริมฝั่งเรื่อยขึ้นไปจนถึงจุดปลายที่เรียกว่า Mid-Level (จุดสูงสุดคือ Victoria Peak) ในระหว่างทางที่เดินในบันไดเลื่อน จะพบกับร้านค้ามากมายทั้งแบบท้องถิ่นและร้านค้าหรูหรารูปแบบตะวันตก โดยทางบันไดเลื่อนจะทอดตัวตัดผ่านถนนหลักหลายเส้น เช่น Staunton Street, Elgin Street, Shelley Street, Hollywood Street ( มีชื่อทางด้านถนนขายของเก่าโบราณทั้งหลาย) บันไดเลื่อนนี้ได้รับการบันทึกว่าเป็น "บันไดเลื่อนที่มีหลังคาคลุม ที่ยาวที่สุดในโลก" โดยกินระยะทางถึง 800 ม. ซึ่งจะมีบันไดเลื่อนเฉพาะทิศทางเดียวเท่านั้น หลังจาก 10:00 น. จะเปิดให้เฉพาะขาขึ้นเท่านั้น ส่วนตอนลงเนี่ย......เดินลงมาเองคับทั่น

 
ระหว่างทางเดินตอนช่วงแรกจะเต็มไปด้วยร้านค้า ผับ เธค และร้านอาหาร Italian, French, Thai, Mexican, Indian, Australian และJapanese มากมาย โดยในจุดนี้จะเรียกว่า SoHo ( South of Hollywood Road) ซึ่งจะมีจุดที่เชื่อมต่อทางขึ้นลงในแต่ละช่วง ของถนนแต่ละชั้น พอเดินไปได้สักพักประมาณครึ่งทางจะพบกับอาคารพักอาศัย แบบตึกสูงมากมาย ในช่วงๆนี้เริ่มสงบเงียบ คนส่วนใหญ่ที่ขึ้นมามักจะเป็นผู้พักอาศัยบนที่สูงแถวๆ นี้ ระหว่างทางจะเห็นทิวทัศน์ของเมืองในย่านนี้ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นย่านเมืองเก่า เต็มไปด้วยอาคารทรงยุโรป เช่น อาคารสถานีตำรวจเดิม, มัสยิดและอาคารราชการเก่าๆ มากมาย เดินจนเริ่มไม่เห็นว่า "ปลายทาง" จะมีอะไรเหรอ แต่ก็ยังเดินขึ้นต่อไป ก่อนสุดปลายทางเจอร้านขายโดนัทร้านนึง พี่บิ้นบอกว่ามีคนเขียนไว้ว่าอร่อยสุด ใครมาจะต้องกินกัน ถึงขั้นต้องซื้อหิ้วกลับเมืองไทยกันเลย นั่งกินดูก็งั้นๆ นะ อร่อยระดับนึงไม่ได้อร่อยมากมาย แต่ที่แน่ๆ แพงครับพี่น้อง กินเสร็จมีเวลาเหลือ อยากจะไป Peak Tram ต่อ เพื่อขึ้นไปดูวิวทิวทัศน์เกาะฮ่องกง แต่ขึ้นมาถึงตรงนี้แล้วไม่รู้จะไปงัยแล้วดิ สถานี MTR ไม่มีแน่ๆ ก็เลยถามเด็กที่ร้านว่าจะไปได้งัย ขึ้นรถเมล์สายไหน คำตอบที่ได้คือ Taxi ง่ายสุด อุตสาห์อยากจะขึ้นรถเมล์ดันแนะนำแท็กซี่ซะงั้น
 

กลับมาถึงบันไดเลื่อนเอันเดิมสุดท้ายก็สามารถเดินขึ้นไปจนสุดปลายทางได้ แต่ขอโทษ สิ่งที่เจอคือ ถนนเส้นใหญ่ตัดผ่านอยู่แล้วเจอสันเขา ที่ไม่สามารถขึ้นไปต่อได้ (ถนนเส้นที่เป็น ปลายทางของ บันไดเลื่อนที่ยาวที่สุดในโลก นี้คือ ถนน Conduit) คิดใจในขึ้นมาทำไมเนี่ย ไม่เห็นมีอะไรเลย เอ๊าตัดสินใจ เรียกแท็กซี่ตามที่น้องที่ร้านมันแนะนำละกัน หลังจากที่ยืนดูรถเมล์ที่ผ่านไปแล้วไม่รู้จริงๆ ว่าแต่ละคันมันไปไหน แล้ว Peak มันต้องลงตรงไหน โบกแท็กซี่ขึ้นไปได้แป๊บเดียวมิเตอร์ไม่ทันขึ้นเลย จ่ายไป 15 เหรียญ ก็มาพามาถึงจุดที่คนเข้าคิวรอขึ้น Tram กัน จริงๆ แล้วจาก Central เดินมาที่นี่ไม่ได้ไกลเลย เพราะ The Peak ตั้งอยู่ ที่ Victoria Gap บนเกาฮ่องกง สามารถเลือกเดินทางมาได้หลายทาง ไม่ว่าจะเป็น ทางรถ ทางเรือ ทางรถไฟ ก็มาได้สะดวกทั้งนั้น ถ้ามาทางรถไฟใต้ดิน ก็มาลงที่สถานี Central แล้วก็เดินเลี้ยวขวามาทาง Chater Garden แวะชมสวน ชมตึกฮ่องกง นิดหน่อย แล้วก็เดินข้าม ถนน Queen’s Road มาเรื่อยๆ จนถึง ถนน Garden Road แล้วก็เดินตรงมาเรื่อยๆ ทางเดินค่อนข้างชัน เพราะที่คุณเดินอยู่นั้นเป็นการเดินขึ้นเขานั่นเอง พอมาถึงแล้ว เราก็จะนั่งรถราง หรือ The Peak Tram อันเลื่องชื่อขึ้นไปกัน
 

รถรางนี้เปิดตั้งแต่เช้า 7 โมง ไปถึงเที่ยงคืนเลย รถก็วิ่งกันตลอด ออกจากท่าทุก 10-15 นาที เห็นออกถี่ขนาดนี้ ยังต้องไปต่อแถวรอ กันเกือบครึ่ง ชม เลยนะคะ ราคาตั๋วก็พอถูไถค่ะ ประมาณ 33 HK$ สำหรับผู้ใหญ่ ไป-กลับค่ะ เงินไทยก็คูณ 5 กันไป ใช้เวลาเข้าคิวอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงได้ ราคาตั๋ว Tram 22 เหรียญ จ่ายโดยบัตร Octopus ได้ จะเลือกแบบไปกลับ หรือเที่ยวเดียวก็ได้ เราเลือกแบบเที่ยวเดียว เพราะขากลับเค้าบอกมีรถเมล์ลงมา จะได้นั่งรถเมล์ก็คราวนี้แหละ ตอนขึ้นไปนั่ง Tram นั่งผิดด้านเลยไม่ได้มองวิวสวยๆ ตอนที่อยู่บน Tram เห็นแต่สันเขา มันไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ เสียวดีเหมือนกัน ไม่อยากจะคิดว่าถ้ามันร่วงตกลงมาจะเป็นอะไรมะ ใช้เวลาประมาณ 7 นาที เพื่อไปถึง The Peak Tower ข้างบน พอถึงปุ๊บก็เจอร้านขายของที่ระลึกดักไว้ก่อนเลย
 

ด้านบนของ The Peak ก็สร้างเป็นตึกสูง ประมาณ เกือบ 5 ชั้นได้ เน้นกระจกโดยรอบเพื่อให้เห็นวิวชัดเจน แต่ก็ทำให้คนกลัวความสูงแบบ เราเสียวไปด้วยเช่นกัน ภายในตึกก็เปรียบเหมือนห้างเล็กๆ ห้างนึงเลย มีร้านอาหาร มีร้านเกมส์ ร้านขายของที่ระลึกมากมาย และ จากตึกนี้เอง ก็สามารถเดินออกมาชมวิว 360 องศา ทางด้าน Terrace ที่เค้าจัดไว้ให้ได้ด้วย แต่วันนี้โชคไม่ดีเอามากๆ เพราะขึ้นไปถึงปุ๊บมองแทบไม่เห็นอะไรเลย โดยเฉพาะจุดสุงสุดบนหลังตาตึกมองลงมาแทบไม่เห็นข้างล่าง เพราะหมอกเต็มไปหมด หมอกเยอะจนมองไม่เห็นอะไรจนรู้สึกอึดอัดจริงๆ ลมแรงด้วย มันหมอกเยอะจนรู้สึกว่ามันหมอกหรือควันวะ ทำไมมันไม่หายไปซักที อยู่รอแล้วรออีกให้หมอกหายไปก็หายไปแป๊บเดียวจริงๆ แล้วมันก็มาอีกระรอก อีกระรอก วิวที่เค้าว่าสวยๆ ก็มองไม่ค่อยจะเห็น เหมือนโดนหลอกให้ขึ้นมายังงัยก็ไม่รู้ แต่ถ้าไม่มีหมอกมันก็คงสวยจริงๆ แหละ มองเห็นวิวทั้งเกาะเลยจริงๆ เพราะไต่ขึ้นมาสูงมาก ไอ้หมอกที่เราเห็นนั้นก็คงเป็นก้อนเมฆแหละ

 

หลังจากหมดหวังแล้วว่าคงไม่ได้ดูวิวสวยๆ แล้วล่ะ เดินวนขึ้นไปดูสองรอบแล้วก็ยังหมอกก็ไม่จางไป กินแฮมเบอร์เกอร์ที่เบอร์เกอร์คิงรองท้องเสร็จ ก็เลยตัดในเดินลงมาขึ้นรถเมล์กลับนั่งรถเมล์สาย 15C มาเรื่อย ๆ แบบหลงๆ ไม่รู้ว่าจะลงไหน ถามคนขับว่าไปท่าเรือ Fery มะ มันก็ทำหน้างงๆ ไม่ตอบซะงั้น สงสัยพูดภาษาปะกิดไม่ได้ แต่มันเขียนไว้นะว่าจอดที่ท่าเรือ Ferry ด้วยนี่หว่าก็น่าจะไปถึงแหละ  และแล้วก็มาถึงจุดที่คิดว่าเป็นท่าเรือ Ferry แน่ๆ ก็เลยลง เดินไป ถ่ายรูปแถวนั้นซักพัก ก็ตัดสินใจขึ้นเรือ Ferry ขึ้นที่ Terminal 8 กลับฝั่งเกาลูนไปลงที่จิมซาจุ๋ย ค่าเรือเท่าไหร่จำไม่ได้เพราะรีบ ไปใช้บัตร Octopus แตะแล้วก็รีบวิ่งขึ้นเรือเลย ใช้เวลานั่งเรือไม่นานประมาณ 15 นาทีก็ถึงอีกฝั่งจุดที่เรานั่งชม Symphony of Light เมื่อวาน
 

จากจิมซาจุ๋ยก็เดินแบบหลงๆ มองหาตลาดนัดกลางคืนถนนเท็มเปิ้ล (Temple Street Night Market) เป็นตลาดกลางคืนกลางแจ้ง สามารถต่อรองราคาสินค้าได้ ที่นี่ เปิดตั้งแต่ 14:00 น. แต่ช่วงที่ผู้คนหนาแน่นที่สุดคือ 1 ทุ่มไปจนถึง 3 ทุ่ม สินค้าก็มีตั้งแต่ เสื้อผ้าราคาถูก กระเป๋าเดินทาง นาฬิกา เสื้อสเวตเตอร์ เสื้อเชิ้ต อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ แผ่นซีดี เทป และอื่นๆ อีกมากมาย ที่นี่มีร้านอาหารมากมาย แต่ด้วยความหิวเจอร้านแรก เราก็ปรีเข้าไปกิน ดูราคาอาหารแล้วไม่ได้ถูก จะมีรูปอาหารต่างๆ ติดผนังเต็มไปหมดจะขายเป็นพวกอาหารทะเล ลักษณะร้านเหมือนร้านอาหารทะเลแถวๆ ประตูน้ำเมื่อก่อน ที่เอาไว้หลอกขายนักท่องเที่ยว อันนี้พี่บิ้นเค้าบอกนะ ก็สั่งอาหารมา 3 อย่าง อย่างละ 40 เหรียญได้ พอยกมา โอ้โห...จานใหญ่มาก กินกันสองคนอิ่มมากมาย สังเกตดูคนที่มานั่งกินกันส่วนใหญ่จะเน้นมานั่งกินเบียร์กันซะมากกว่า
 

เดินๆ ไปเรื่อย ดูๆ ของที่ขายพวกกระเป๋าก็อปแบรนด์เนมก็มีนะ แต่ไม่ได้วางขายให้เห็น จะเป็นแคตาล็อกวางๆ อยู่ถ้าเราเลือกอันไหน คงเดินไปหยิบจากร้านค้าหรือตึกแถวๆ นั้นมาให้เรามั๊ง ดูราคาสินค้าต่างๆ แล้วไม่ได้ถูกเลยนะ กะเอามาฟันนักท่องเที่ยวเลยทีเดียวแหละ ที่ไม่กล้าซื้อคือก่อนหน้านี้ตอนอยู่บน Peak ดูราคากระเป๋าที่ร้านขายของข้างบนแค่ 45 เหรียญ พอมาดูกระเป๋าแบบเดียวกันด้านล่าง ราคาปาเข้าไป 70 เหรียญ ก็คงเผื่อต่อแหละ แต่ต่อให้ตายคงได้อย่างมากแค่ 50 เหรียญ เลยคิดว่าอย่างอื่นมันก็คงไม่ถูกแหละ เลยได้แต่เดินดู

เดินมาจนสุดถนนเจอร้านขายอาหารทะเลเพียบเลยถูกด้วย จานละ 20 เหรียญเอง แต่จานจะเล็กๆ ถ้าอดทนอีกหน่อยเดินมาถึงตรงนี้คงได้กินแบบถูกๆ แถมได้กินหลายอย่างด้วย มีร้านโจ๊ก ปลาทองโก๋ตัวโตๆ ด้วยแหละ น่าอร่อย แต่ในพุงไม่มีพื้นที่ให้ใส่แล้วจริงๆ อดกินเลย เดินจนหมดแรงแล้วก็กลับเข้าโรงแรม วันนี้ครบเครื่องจริงๆ ขึ้นมันพาหนะเกือบทุกอย่างเลย รถไฟใต้ดิน รถราง แท็กซี่ รถเมล์ รถราง (Tram) จบด้วย เรือ Ferry เหนื่อยสุดๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น