วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557

จมูกโล่งล้างด้วยน้ำเกลือ

 

เมื่อหน้าฝนที่ผ่านมา เห็นแม่ๆ หลายต่อหลายบ้าน ต่างพากันเหนื่อยรับมือกับหวัดของลูกๆ กันจนทรุดโทรมกันไปหลายบ้าน บ้านนี้ก็เหมือนกันค่ะ ผลัดกันเป็นหวัดทั้งมามิ และโมโม่ พอเป็นแล้วก็ติดกันไปมา จนเป็นกันทั้งบ้าน

หวัดที่เป็นถ้าโชคดีหน่อยก็เป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา แต่ถ้าเป็นไข้หวัดใหญ่แล้วละก็ อาจจะต้องถึงโรงหมอกันทีเดียว ที่บ้านนี้ ถ้าเป็นไข้หวัดธรรมดาจะไม่ค่อยได้พาไปหาหมอหรอกค่ะ เพราะคิดว่าพอรับมือกับหวัดธรรมดาได้ แต่ต้องแน่ใจก่อนนะคะว่าเป็นไข้หวัดธรรมดา คืออย่างแรก จะมีไข้ต่ำ หรือไม่มีไข้เลย ต่อมาก็คือมีน้ำมูก อาจจะมีอาการไอตามมาเล็กน้อย แต่ถ้าถึงขั้นเจ็บคอ ทานอะไรไม่ได้ ก็ต้องพาไปหาหมอ เพื่อรับยาฆ่าเชื้อแต่โดยดี

จริงๆ แล้วไข้หวัดที่เป็นกันนี่ ส่วนใหญ่ก็รักษากันตามอาการเช่นถ้าไอ แต่ไม่เจ็บคอ ก็ให้กินยาละลายเสมหะ หรือถ้ามีน้ำมูก ก็อาจให้ทานยาลดน้ำมูก แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา จะรู้สึกว่ายาลดน้ำมูกจะมีผลข้างเคียง เช่นทำให้จมูกแห้งมาก ก็ต้องคอยล้างจมูกกันให้พอชุ่มชื้น แถมได้ประโยชน์อีกอย่างคือล้างน้ำมูกที่อยู่ภายในได้มากขึ้น

 
วิธีการล้างจมูกแบบถอดท่อออกจากจุกขวดฮาชชิ

สำหรับมามิแล้ว เคยล้างจมูกมาหลายครั้งแล้วเหมือนกัน ตั้งแต่สองปีที่แล้ว จำได้เลยว่าแม่แหม่มไปเดินงาน BBB แล้วเจอบู้ทนึงขายขวดล้างจมูกยี่ห้อ ฮาชชิ เห็นรูปร่างแปลกๆ ก็เลยเข้าไปถาม ปรากฏว่าเป็นที่ล้างจมูก แพคเกจน่ารักดี มีซองน้ำเกลือแถมให้อีก 15 ซอง ก็เลยลองซื้อมาใช้ แรกๆ ก็ลองใช้เองก่อน ตามคู่มือที่ให้มาคือ ผสมเกลือในซองกับน้ำสะอาด ตวงให้ได้ตามปริมาณ จากนั้นก็เตรียมใจ เตรียมตัว ตะแคงหัวพร้อมกับก้มหน้านิดๆ กลั้นหายใจ ร้องอือไปด้วยเพราะกลัวจัด แล้วจึงพ่นน้ำเกลือเข้าจมูก วูบแรกสำลักค่ะ เพราะไม่ได้กลั้นหายใจ ก็เลยหยุดก่อน แล้วเริ่มใหม่ กลั้นหายใจด้วยร้องอือไปด้วย แล้วก็พ่นน้ำเกลืออีกครั้ง คราวนี้รู้สึกได้เลยว่าน้ำเกลือมันผ่านวูบเข้าโพรงจมูกแล้วไหลออกมาทางรูจมูกอีกข้าง จากนั้นก็ลองสลับข้างกันทำ คราวนี้ก็คล่องขึ้น ไม่สำลักแล้ว ได้ผลดีมาก คือทำให้จมูกโล่งขึ้นมาก รู้สึกได้ทันที
 

เกลือฮาชชิ มี 2 สูตร Hashi Salt Gentle Refill สูตรอ่อนโยน ประกอบด้วยเกลือฮาชชิ pharmaceutical grade (sodium chloride) สูตรอ่อนโยน ขนาด 1.7 กรัม จำนวน 30 ซอง และ Hashi Salt Refill สูตรธรรมดา ประกอบด้วย เกลือฮาชชิสูตรธรรมดา pharmaceutical grade (sodium chloride + sodium bicarbonate) ขนาด 2.8 กรัม จำนวน 30 ซอง

พอมามิเป็นหวัดน้ำมูกไหลย้อย แม่แหม่มก็เลยให้มามิมาล้างจมูก แรกๆ มามิก็กลัวมาก เพราะเล่าให้ฟังว่าน้ำเกลือมันจะเข้าไปล้างโพรงจมูกของมามิยังไงบ้าง แต่ก็บอกว่าลองทำดู ถ้าไม่ดีก็เลิกทำ มามิก็เลยลองทำดู ก็ให้มามิทำเหมือนกับแม่แหม่ม แต่ของมามิให้หลับตาด้วย แล้วก็บอกว่าให้ร้อง อือดังๆ นะ ให้แม่ได้ยิน แล้วร้องอย่าหยุด พอมามิเริ่มร้องอือ แม่ก็พ่นเข้าจมูกทันที มามิสะดุ้งแล้วบอกว่าไม่เอาละ เพราะสำลักเหมือนกัน ก็เลยให้มามิพักก่อน แล้วค่อยมาลองใหม่ มามิก็มาลองใหม่อีกครั้ง อาจจะเพราะน้ำมูกมันคั่งในโพรงจมูกเยอะมาก ทำให้หายใจไม่สะดวก มามิก็เลยอยากลองล้างดู เผื่อจะดีขึ้น คราวนี้บอกมามิให้ร้องอือดังๆ และอย่าหยุดนะ แล้วแม่แหม่มก็พ่นน้ำเกลือเข้าไปทันที ได้ผลค่ะ น้ำมูกในโพรงจมูกไหลตามมาเป็นยวงเลยค่ะ ก็ยังพ่นต่อนะคะ ซัก 3-5 วินาที ก็ทำสลับข้างกัน คราวนี้สะดวกเลยค่ะ มามิทำได้ดีมากเลย แถมน้ำมูกก็ล้างออกมาได้เยอะจริงๆ ค่ะ


เกลือของฮาชชิเป็นการใช้ 1 ซองต่อ 1 ครั้ง จึงมีความสะอาดและอนามัยสูง ไม่เหมือน saline ขวดซึ่งมีการเปิดปิดตลอดเวลาและมีโอกาสทีแบคทีเรียกับสิ่งสกปรกจะเข้าไปสะสมและหมักหมมได้ค่ะ

วันๆ นึงก็ล้างซัก 3 ครั้ง ก็โล่งจมูกมามิแล้วค่ะ ยิ่งก่อนนอน ถ้าได้ล้างจมูกก็ยิ่งหลับได้สนิทขึ้นด้วย จนเดี๋ยวนี้พอเป็นหวัดมีน้ำมูกทีไร ก็จับมาล้างจมูกจนเป็นเรื่องปกติแล้วค่ะ
 
วิธีการล้างจมูกแบบสวมท่อเข้ากับจุกขวดฮาชชิ

ยิ่งเดี๋ยวนี้ ฮาชชิ ที่ใช้อยู่ก็มีรุ่นใหม่ซึ่งมีหลอดพลาสติกข้างในช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการล้างจมูกแบบแนวตั้ง คือเมื่อก่อนยังไม่มีหลอดแบบนี้ทำให้เวลาล้าง เราต้องเอียงคอเพื่อจะยกขวดพ่นน้ำเกลือในแนวนอนได้ แต่พอมีหลอดพลาสติกซึ่งช่วยดูดน้ำเข้าช่องพ่นน้ำ ทำให้เราสามารถพ่นในแนวตั้งได้ เพียงแต่ต้องช่วยบีบเล็กน้อย แล้วก็ช่วยให้ไม่สำลักน้ำเกลือ สำหรับคนเพิ่งเริ่มใช้ด้วย

วิธีการล้างตามคู่มือ

แค่เติมน้ำสะอาดกับเกลือในขวด (เป็นน้ำดืมที่อุณหภูมิห้อง จะดีกว่าน้ำก๊อกที่อุณหภูมิห้อง) ในขวดฮาชิ พลัส ให้ถึงระดับขีด( 180 cc) ตรงนี้ให้ตั้งขวดขึ้นแล้วเส้นวัดระดับน้ำจะขนานกับพื้น

1. ยืนโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เอียงศีรษะ 45 องศาให้รูจมูกที่ต้องการล้างอยู่ด้านบน
2. แนบจุกขวดฮาชิพลัสกับรูจมูกให้สนิทแล้วเริ่มบีบขวดให้น้ำเกลือไหลเข้าโพรงจมูกแล้วไหลออกทางโพรงจมูกอีกข้างนึงพร้อมออกเสียง อา…(หรือหายใจทางปากแทน)ไปพร้อมๆกันเพื่อป้องกันการสำลัก
3. ล้างจมูกจนกระทั่งน้ำเกลือที่ไหลทิ้งเริ่มใส  จากนั้นก็สั่งน้ำมูกเบาๆ เพื่อขับน้ำเกลือและน้ำมูกที่เหลือค้างอยู่ออกมา
4. สลับไปล้างจมูกอีกด้านโดยทำวิธีเดียวกัน
หลังล้างจมูก  อย่าลืมสั่งน้ำมูกเพื่อเอาน้ำเกลือที่เหลือค้างอยู่ออกค่ะ
5. หลังการล้างจมูกแล้วประมาณ ½-1 ชั่วโมง อาจมีน้ำที่ยังตกค้างในโพรงจมูกไหลออกมาทางรูจมูกได้  ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติซึ่งเราสามารถลดอาการดังกล่าวได้ โดยการเอียงศีรษะไปมา และสั่งน้ำมูกเบาๆ หรือ ก้มหน้าลง แล้วสั่งน้ำถูเบาๆ  
 

ขวดฮาชชิ พลัส ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากการล้างจมูกด้วยอุปกรณ์แบบดั้งเดิม เช่น ไซริ้ง ลูกยางแดง กาเนติพอต ด้วยดีไซน์ที่ง่ายต่อการใช้งานที่  ผลิตจากวัสดุมีความยืดหยุ่นและนุ่มมือ

อาจจะมีบางคนบอกว่า ประยุกต์ใช้หลอดฉีดยาพ่นน้ำเกลือก็ได้นะ หรือพวกลูกยางสีแดงๆ อันนี้ก็ไม่แน่ใจว่าจะใช้งานได้สะดวกเหมือนกันหรือเปล่านะคะ แต่รู้สึกว่าของ ฮาชชิ เวลาพ่นมันไม่แรงเพราะเวลาพ่นน้ำเกลือที่ออกมาจะฟู่มากกว่า มีความนุ่มนวลมากกว่า อีกอย่างเวลาจับถือก็ถนัดมือ และสามารถควบคุมความแรงของน้ำเกลือได้ด้วยการบีบ ไม่ได้พุ่งเป็นสายเหมือนหลอดฉีดยา ส่วนปลายก็แนบกับจมูกได้มากกว่า ไม่จำเป็นต้องสอดเข้าไปในรูจมูก เลยไม่ต้องกังวลว่าจะทำอันตรายกับโพรงจมูก ส่วนตัวก็เลยคิดว่าแบบนี้ดีกว่า อ้ออีกอย่างคือความจุ สามารถจุน้ำเกลือได้มากกว่า เลยทำให้การพ่นต่อเนื่อง ไม่ต้องหยุดเพื่อเติมน้ำเกลือ ตัววัสดุไม่มีสาร BPA อีกด้วย

ยังไงใครคิดว่ามีประโยชน์ก็ลองหาซื้อกันมาใช้นะคะ เคยเห็นตามร้านขายยาใหญ่ๆ ส่วนเกลือมีจะมีแยกขายเป็นกล่อง กล่องละ 30 ซอง มีทั้งแบบสูตรธรรมดาสำหรับการล้างที่มีการอุดตันมาก และสูตรอ่อนโยนซองสีเขียว  ซึ่งเหมาะสำหรับการล้างทั่วไป ทั้งสองสูตรเป็นเกลือคุณภาพสูงจากต่างประเทศ เกรดเดียวกับการผลิตยาสะอาด และสะดวกต่อการพกเอาไปนอกบ้าน ไม่ต้องพกน้ำเกลือเป็นขวดๆ เสี่ยงต่อการเลอะเทอะค่ะ ใช้หนึ่งซองต่อการล้างหนึ่งครั้ง ก็ถูกสุขลักษณะดีค่ะ ต่างจากน้ำเกลือขวดที่เปิดแล้วใช้ไม่หมดก็ปิดเก็บไว้ใช้ต่อ อาจจะมีการปนเปื้อนได้ค่ะ
 
ตั้งแต่รู้จักกับ ฮาชชิมาก็มีไว้ติดบ้านไว้ เป็นหวัด คัดจมูกเมื่อไหร่ ก็เอามาใช้ได้ทันทีค่ะ ใช้กันทั้งบ้าน พ่อ แม่ ลูกเลยค่ะ


ฮาชชิ พลัสมีจำหน่ายตามโรงพยาบาลชั้นนำ และร้านขายยาทั่วไป และในร้านขายยาในห้าง เช่น ลองหาร้านค้าใกล้บ้านก็ได้ค่ะ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 

เว็บไซต์ www.hashi.co.th 
Instagram : hashi_official

วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2557

1,000 วันสร้างลูกน้อยสมองไว ด้วยนมแม่กันนะคะ


1,000 วันฟังดูเหมือนจะเยอะนะ สำหรับการทำอะไรซักอย่าง แต่ถ้าเป็นการสร้างอนาคตให้ลูกน้อย ก็ดูจะน้อยลงไปทันที เพราะมันเป็นช่วงเวลาทองแห่งการสร้างพัฒนาการและสมอง เรียกได้ว่าเป็นการกำหนดศักยภาพในชีวิตของลูก ในการพัฒนาร่างกาย จิตใจ ภูมิต้านทาน และศักยภาพของสมองของทั้งชีวิตลูกเลยก็ว่าได้

1,000 วันที่ว่านี้ก็คือ 1,000 วันแรกของชีวิต นับตั้งแต่ วันแรกที่ปฏิสนธิ จนถึง เด็กอายุ 2 ขวบ เป็นช่วงเวลาของกระบวนการสร้างเซลล์สมอง กับเส้นใยประสาทอย่างรวดเร็ว  พัฒนาการทางสติปัญณา ความรู้ จะสร้างอย่างรวดเร็วที่สุดใน  1,000 วันแรกนี้ เมื่อครบ 1,000 วันสมองของเด็กก็จะมีขนาดประมาณ 80% ของสมองผู้ใหญ่ และเส้นใยประสาทที่สมบูรณ์ และเส้นใยประสาทนี้ก็คือตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารระหว่างเซลล์สมอง ทำให้สมองทำงานได้เร็วขึ้น

ภาพจาก : www.alphalactalbumin1000days.org


รู้จักสมอง และโครงสร้างสมอง



ภาพจาก : www.alphalactalbumin1000days.org

นอกจากเซลล์สมอง และ เส้นใยประสาท  ที่ช่วยในการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารระหว่างเซลล์สมอง ช่วยให้สมองทำงานได้เร็วขึ้นได้นั้น ยังมีส่วนสำคัญอีกอย่างคือ สารสื่อประสาทที่ทำหน้าที่ส่งต่อข้อมูลระหว่างเซลล์ประสาท ทำให้เกิดการทำงานของสมองสร้างความทรงจำ การเรียนรู้ ซึ่งในเด็กเล็กนั้นต้องการสารตั้งต้นในการสร้างมากกว่าผู้ใหญ่ถึง 6 เท่า

เส้นใยประสาท และสารสื่อประสาทนั้นต้องการโปรตีนและไขมันเพื่อใช้ในการสร้าง ดังนั้นเราจึงต้องให้ความสำคัญของคุณภาพของโปรตีน และไขมัน (ใส่ภาพการทำงานของสมอง)

แอลฟา-แลคตัลบูมิน เป็นสารอาหารที่สำคัญ ที่เป็นพระเอก เป็นส่วนประกอบของเส้นใยประสาท และช่วยสร้างสารสื่อประสาท เชื่อหรือไม่ แอลฟา-แลคตัลบูมิน ดูแล้วเป็นสารอาหารที่สำคัญ แต่กลับพบได้ง่าย และมีมากในน้ำนมแม่


“แอลฟา-แล็คตัลบูมิน” เป็นสารอาหารซึ่งพบมากในนมแม่ สำคัญต่อการสร้างสารสื่อประสาท ช่วยในการทำงานของสมอง และทำให้เด็กอารมณ์ดี และยังลดความเครียดอีกด้วย ซึ่งในระยะยาวจะส่งผลดีต่อพฤติกรรม การเรียนรู้ และการพัฒนาสมอง


ก็เลยอยากเชิญชวนแม่ๆ มาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่กันมากๆ นะคะ แล้วก็ให้ความสำคัญกับ 1,000 วันแรกที่กำหนดสมองลูกทั้งชีวิต ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถอ่านได้ที่ www.alphalactalbumin1000days.org


คราวนี้ 1,000 วันของลูกน้อยก็จะเป็นช่วงเวลาทองแห่งการสร้างพัฒนาการลูกของพ่อแม่แล้วล่ะค่ะ