เริ่มจากการตรวจร่างกายอย่างละเอียดก่อน ปรากฏว่ามดลูกของเราปกติ ผนังมดลูกหนา ประจำเดือนมาปกติทุกเดือน อสุจิก็ปริมาณปกติ และสมบูรณ์ดี เพราะฉะนั้นเรื่องสุขภาพของเราสองคน ไม่มีปัญหาสำหรับการจะสร้างชีวิตใหม่ในครั้งนี้
ขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้วนั้นช่างหลากหลายเหลือเกิน และฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายที่เจ็บตัวมากที่สุดและบ่อยที่สุด เพราะจะต้องมีการฉีดฮอร์โมนทุก ๆ วันเป็นเวลาเกือบ 10 วันหรือมากกว่า ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับขนาด และ ปริมาณของไข่ที่ได้ ส่วนฝ่ายชายน่ะเหรอ สบายจะตาย แค่รีด "เชื้อ" ออกมาครั้งเดียวในวันที่จะทำการเลี้ยงไข่และอสุจิในหลุมเลี้ยงไข่ ก็เป็นอันเสร็จพิธี...เฮ้อ.. เกิดเป็นหญิงแท้จริงนั้นแสนลำบาก.. .แต่เมื่ออยากมีเจ้าตัวน้อย ก็ต้องอดทนกันต่อไปอ่ะนะ....
หลังจากที่เราตัดสินใจจะทำเด็กหลอดแก้ว ก็ทำการนัดหมอ ซึ่งคราวนี้ก็คุณหมอซึ่งทุกครั้งที่เราไปทำการฉีดเชื้อผสมเทียมไปทำที่ ร.พ. พระราม 9 แต่หากจะทำเด็กหลอดแก้วหมอแนะนำให้ไปคลีนิกที่ตึกชาญอิสระ 2 แถวสีลม ซึ่งหมอบอกว่าค่าใช้จ่ายถูกว่า และเครื่องมือทันสมัยกว่า เราก็เชื่อ คลีนิคที่ว่านี้ชื่อ Advance AIVF : http://www.a-ivf.com
หลังจากตกลงใจว่าจะทำแน่แล้ว หมอก็นับวันประจำเดือนแบบคร่าว ๆ จากบันทึกของเราที่หมอมี แล้วหมอก็นัดให้เราไปพบเพื่อรับ "สเปรย์" สำหรับนำมาพ่นเข้าทางจมูกก่อนวันประจำเดือนมา 7 วัน ซึ่งเจ้าสเปรย์ตัวนี้จะช่วยกันไม่ให้ไข่ตก เมื่อถึงวันตกไข่ ไข่ก็จะไม่ตกออกมา แต่ร่างกายมันผลิตไข่ออกมาเรื่อย ๆ เนื่องจากได้รับฮอร์โมน มันก็จะทำให้เรามีไข่มากกว่าปกติ ผลดีคือ ได้ไข่มาหลายใบ ทำให้มีโอกาสได้ตัวอ่อนมากขึ้น แต่ผลเสียคือ ในกรณีที่เราได้มากใบจนเกินไปก็จะทำให้เราปวดท้องได้ เพราะไข่มันมากแต่ถุงอุ้มไข่มันเล็ก
เราเริ่มพ่นสเปรย์ ทุกวัน วันละ 4 เวลา โดยต้องพ่นทุก ๆ 4 ชั่วโมง สลับข้างซ้าย - ขวา แต่ครั้งสุดท้ายพ่นเข้ารูจมูกทั้ง 2 ข้าง การพ่นสเปรย์ตัวนี้ ห้ามผิดเวลาเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะนั่นจะทำให้ผลไปกระทบกับการกักไข่ไม่ให้ตกได้ เราจึงต้องตั้งนาฬิกาปลุกไว้ทุก 4 ชั่วโมง ของเราพ่นตั้งแต่ 10 โมงเช้า - ซ้าย, บ่าย 2 - ขวา , 6 โมงเย็น - ซ้าย และ สี่ทุ่ม - ขวา การพ่นยาแต่ละครั้งไม่เจ็บแต่อย่างใด แต่มันขมเวลายามันไหลลงคอ แล้วไอ้เจ้ายาพ่นเนี่ยจะต้องแช่เย็นไว้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น เวลาไปไหนก็ต้องหิ้วกระติกน้ำแข็งติดตัวไปตลอด จำได้ว่าไปเที่ยวหัวหิน ก็ต้องเอากระติกน้ำแข็งไปด้วยตลอด จนคนที่ไปด้วย สงสัยกันหมด ต้องมาคอยนั่งอธิบายกันเลยแหละ
และที่ลืมไม่ได้คือต้องบอกหมอทันทีในวันแรกที่มีประจำเดือน เพราะหมอจะได้นัดเพื่อทำขั้นตอนต่อไป ช่วงที่พ่นจมูกนี้ หมอก็จะนัดให้ไปพบเป็นระยะ ๆ เพื่ออัลตราซาวด์ ตรวจเลือดเพื่อดุระดับฮอร์โมน แต่ก่อนจะถึงตรงนั้น...ต้องไปพบหมอก่อนหรือในวันที่ 3 ของวันมีประจำเดือน เพื่อรับฮอร์โมน และเข็มมาฉีดยา เพื่อฉีดเข้าตรงหน้าท้อง การฉีดฮอร์โมนเข้าร่างกาย ก็ไม่ลำบากอะไรมากมายปลายเข็มก็เล็กนิดเดียว เวลาฉีดก็ไม่เจ็บแต่หวาดเสียว ต้องเอามือข้างนึงจับก้อนเนื้อตรงพุง ใต้สะดือ ออกมา แล้วเอามืออีกข้างถือเข็มจิ้มลงไปในเนื้อที่จิกมานั้นแล้วก็กดเอาน้ำยาลงไป ซึ่งเข็มแรกจะฉีดที่คลีนิค มีพยาบาลเป็นคนช่วยสอนขั้นตอนในการฉีดยาให้ แค่ครั้งเดียว ต้องจำให้ดีๆ
จากที่เคยกลัวเข็ม จะต้องมาฉีดฮอร์โมนให้ตัวเอง คิดดู เพราะตาโรบิ้นไม่ยอมช่วย ไม่ยอมดูเลย ได้แต่เอาใจช่วยอย่างเดียว กลัวเหมือนกันหรืออย่างไร ไม่ทราบได้ เอาเหอะ ฉีดเองเสียวเองแรกๆ ก็เก้ๆ กังๆ หลายๆ วันเข้าก็ชิน เข็มฉีดยาตัวนี้สามารถตั้งค่าได้เลยว่าต้องการฉีดฮอร์โมนปริมาณเท่าไหร่
สำหรับเรา ฉีดทุกวัน วันละ 175 ul แล้ว 3 วันหลังฉีดยา หมอก็จะนัดไปตรวจเลือด แต่หลังจากนั้นก็ยังคง ฉีดยาต่อไปเรื่อย ๆ และ 3 วันหลังจากตรวจเลือด หมอจะนัดไปทำอัลตราซาวด์ดูขนาดของไข่ และ ปริมาณไข่ที่ได้ เราได้ไข่ประมาณ 17 ใบ ขนาดก็ตั้งแต่ 1.1 ซม. ถึง 1.4 ซ.ม. แต่ก็ยังไม่โตพอ (ปกติคือขนาด 1.7 ซม.ขึ้นไป) หมอจึงสั่งให้ฉีดยาต่อไปอีก 4 วัน แต่ลดปริมาณลง เหลือ 150 ul สลับกับ 175 ul. วันสุดท้ายที่หมอนัดทำอัลตราซาวด์.. เราได้ไข่ขนาดโตสุดที่ 2.2 ซม. วันรุ่งขึ้นหมอจึงนัดเราไปฉีดยาเร่งการตกไข่ วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการพ่นยาจมูก และ ฉีดฮอร์โมน 10 วันของการฉีดฮอร์โมน และ 22 วันของการพ่นยาจมูก มันช่างยาวนานจริงๆ และไอ้ฮอร์โมนที่ฉีดนี่ก็แสนแพง ฉีดไป 3 ขวด หมดไปหลายหมื่นอยู่
ส่วนรูปเจ้าฮอร์โมนแพงแสนแพงก็เป็นหลอดแบบนี้แหละจ้า 1 หลอด ฉีดได้ 2 วันเอง และเวลาไปไหนมาไหนก็ต้องพกใส่ในกระติกน้ำแข็งไปพร้อม ๆ กับเจ้าเข็มฉีดยาไฮเทค พร้อม สำลี กับ แอลกอฮอล์ด เพื่อทำความสะอาดบริเวณพุงก่อนฉีดยา
ดูไกลๆ เหมือนปากกา
ดึงปลอกออกมาก็เป็นเข็ม
สามารถกำหนดปริมาณได้
เข็มแหลมๆ ที่ใช้แทงพุง
ฮอร์โมนแสนแพง
หลังจากฉีดยาเข็มสุดท้ายเสร็จ ก็จะได้พัก 1 วัน ไม่ต้องกังวลกับการพ่นยา หรือฉีดยาอีกแล้ว แต่วันถัดมาก็จะเป็นวันขึ้นเขียง ก่อนขึ้นเขียงจะต้องงดน้ำ งดอาหารหลังเที่ยงคืนวันก่อนการใส่ตัวอ่อน เราเดินทางไปคลีนิค เข้าห้องผ่าตัดเล็กของคลีนิค เพื่อทำการเก็บไข่ และ เก็บน้ำเชื้ออสุจิของฝ่ายชาย... เราสองคนลุ้นระทึกกันมาก เพราะเราคาดหวังไว้อย่างสวยงามว่า เราจะต้องได้ไข่มาผสมกับอสุจิมากพอสมควร (หลังจากที่ดูจากจออัลตราซาวด์เมื่อหลายวันก่อน)
และแล้วก็ถึงเวลาทำการเก็บไข่ พยาบาล มารวมตัวกัน ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง หลังจากเข้าห้องผ่าตัดคุยกะหมอซักพักยอมรับว่ากลัวมาก เพราะไม่เคยเข้าห้องผ่าตัดมาก่อนเลย แต่หมอ พยาบาล ก็ชวนคุยให้ผ่อนคลายซักพัก และหมอวิสัญญีมาช่วยวางยาแล้วเราก็หลับไปโดยไม่รู้ตัวว่า
ตื่นมาอีกทีก็มานอนอยู่อีกห้องนึง เจ็บหน้าท้องชะมัด ปวดแบบหน่วง ๆ หมอให้นอนพักประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็กลับไปพักผ่อนได้ แล้วก็รอกลับมาย้ายตัวอ่อนเข้าโพรงมดลูกอีก 2 วันหลังจากปล่อยให้ไข่ และ อสุจิผสมกันเองข้างนอกแล้ว
หลังจากที่ทำการเก็บไข่ได้สองวันก็มาถึงการใส่ตัวอ่อน และในวันที่จะใส่ตัวอ่อนกลับเข้าไป ก็ได้รู้จากหมอว่าได้ตัวอ่อนจากการผสมกันนั้นมา 7 ตัวคุณภาพของตัวอ่อนอยู่ในระดับ A และ B ซึ่งก็พอมีหวัง สำหรับกระบวนการใส่ตัวอ่อนนั้นไม่นานเหมือนตอนเก็บไข่ และ ไม่เจ็บด้วย ก็เข้าห้องผ่าตัด วางยา แล้วก็ใส่ตัวอ่อนกลับไปในมดลูก หลังจากที่ใส่ตัวอ่อนกลับเข้าไป หมอเค้าให้นอนพักประมาณ 30 นาทีก็สามารถกลับบ้านได้ และที่เรา ๆ หวังว่าจะเห็นว่ามี ลูกแฝด ออกมากันนั้นหมอบอกว่าเป็นผลพลอยได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วหมอจะใส่ตัวอ่อนกลับเข้าไปแค่ 3 ตัวให้กับทุก ๆ คนโดยที่หมอหวังว่าจะ ให้ติด 1 ใน 3 เท่านั้น แต่ที่ออกมาเป็นแฝดสอง แฝดสาม หรือ สี่ ห้า หก นั้นเป็นผลพลอยได้จริง ๆ ซึ่งอาจจะเกิดจากตัวอ่อนไปแบ่งตัวในมดลูกอีก หรือ ตัวอ่อนที่หมอใส่กลับเข้าไปมันติดทั้งหมด
หมอบอกว่า หมอส่วนมากจะไม่ค่อยจะแฮปปี้นักในกรณีที่เป็นเด็กแฝด โดยเฉพาะแฝดสาม เพราะแม่จะต้องแบกน้ำหนักมาก และจะต้องลำบากในตอนใกล้คลอด หลังจากที่ใส่ตัวอ่อนเสร็จแล้ว ก็รับยาสำหรับสอดเข้าทางปากมดลูก เราก็ต้องสอดยาวันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน ยาตัวนี้จะเป็นเหมือนฮอร์โมน ในมดลูกที่ช่วยให้ตัวอ่อนสามารถเจริญเติบโต และฝังตัวได้ เพราะมดลูกเราถูกกระทบกระเทือนตอนใส่ตัวอ่อนกลับเข้าไป ฉะนั้นเราจึงจำเป็นต้องใช้ตัวฮอร์โมนนี้ช่วยเสริมฮอร์โมนที่ขาดไป
ยาสอดหรือยาเหน็บ
ถามว่าตัวอ่อนที่เหลืออีก 4 ตัวนั้นไปไหน หมอเค้าจะเอาไปแช่แข็งไว้ในตู้ที่ได้ทำการกำหนดอุณหภูมิไว้เรียบร้อยแล้ว เผื่อว่าการใส่ตัวอ่อนรอบแรกของเราไม่สำเร็จ เราก็จะมีตัวอ่อนที่เหลือไว้สำหรับการทำครั้งต่อไป ซึ่งหมอบอกว่าตัวอ่อนที่ว่านี้สามารถเก็บได้เป็นสิบๆ ปีเลย
หลังจากที่ใส่ตัวอ่อนกลับเข้าไป หมอบอกว่าต่อจากนี้ก็ต้องอาศัยโชค และ ดวงอย่างเดียวเพราะเปอร์เซนต์ที่จะได้ก็มีแค่ 20-30% พอๆ กับการตั้งครรภ์แบบธรรมชาติ และเราก็ต้องปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของหมอให้เคร่งครัดด้วย...ซึ่งตอนนี้ เราก็ได้แต่นั่งภาวนา ขอให้ติดนี่แหละ...จากนี้ก็รอจนกว่าจะครบรอบเดือนอีกรอบ ถ้าประจำเดือนมาก็จบ ถ้าประจำเดือนยังไม่มา ก็ไปตามวันที่หมอนัดแล้วไปทำการเจาะเลือดเพื่อวัดระดับฮอร์โมน ซึ่งถ้าเราท้องระดับฮอร์โมนก็จะสูงขึ้น การเจาะเลือดเพื่อวัดฮอร์โมนนี่จะบอกได้ดีสุด ดีกว่าการตรวจฉี่ หรือใช้เครื่อมือทดสอบการตั้งครรภ์แบบอื่นๆ
หลังจากรอจนครบวันที่มีรอบเดือนแล้วประจำเดือนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมา แอบดีใจลึกๆ ว่า ติดแล้วๆ ถึงวันที่ไปพบหมอเพื่อตรวจเลือดเพื่อดูผลฮอร์โมน ก็ไปแต่เช้าเลยไปถึงก็ทำการเจาะเลือดเสร็จไปหาอะไรกิน รอผลเลือดประมาณ 1 ชม. กลับมาพบหมอ หมอนั่งยิ้มรออยู่แล้ว แต่....ผลออกมาฮอร์โมนสูงจริงแต่ ไม่ได้สูงมากจนถึงขั้นที่จะมีการตั้งครรภ์ หมอบอกว่ามีการฝังตัวของตัวอ่อน เห็นได้จากการที่เห็นผลฮอร์โมนสูงขึ้น แต่ตัวอ่อนได้ฝ่อตัวไปแล้ว หมอบอกหลังจากนี้ไปอีก สองสามวันระดับฮอร์โมนก็จะลดลงเรื่อยๆ และประจำเดือนก็จะมาในที่สุด
ก็เป็นอย่างที่หมอคาดการณ์ไว้ อีกสองวันถัดมาประจำเดือนก็มา....หมดกัน การทำเด็กหลอดแก้วครั้งแรกของเรา....
หลังจากความผิดหวังรอบแรก ก็มีตัวอ่อนที่นอนรออีก 4 ตัว เพื่อรอการทำครั้งต่อไป หมอบอกว่าครั้งต่อไปกระบวนการจะไม่ยุ่งยากมากเหมือนคราวก่อน และค่าใช้จ่ายก็จะลดลงเพราะตัดกระบวนการเก็บไข่ และ การฉีดฮอร์โมนแสนแพงเข้าที่พุง
หมอให้พักประมาณ 3-4 เดือน เมื่อพร้อมแล้วก็ให้โทรไปนัดหมอเพื่อทำรอบต่อไป หลังจากพักไปตามกำหนด ก็ติดต่อหมอกลับไปเพื่อทำอีกครั้ง ก็เริ่มกระบวนการ พ่นยา ใส่ตัวอ่อน ซึ่งพอถึงวันใส่ตัวอ่อนรอบสอง ตัวอ่อนที่ว่ามี 4 พอนำมาละลายก็เหลือแค่ 3 ซึ่งก็พอดี เพราะหมอไม่ยอมใส่ไป 4 ตัวอยู่แล้วล่ะ หลังจากใส่ตัวอ่อนเสร็จแล้วก็สอดยา เหมือนเดิม แต่ที่มีเพิ่มเติมก็คือ จะต้องไปฉีดยาเข้าตรงที่สะโพกสี่เข็ม วันเว้นวัน จำนวน 4 เข็ม หลังจากการใส่ตัวอ่อน ไม่ได้ถามหมอเหมือนกันว่าไอ้ยาที่ให้มาฉีดเนี่ย เค้าฉีดทำไม คิดดูเดี๋ยวฉีดพุง เดี๋ยวฉีดก้น เดี๋ยวเจาะเลือด จากคนที่เคยกลัวเข็มเจอจนชิน จนเลิกกลัวไปแล้ว...
หลังจากนั้นหมอก็นับว่าประจำเดือนรอบถัดไปจะมาวันไหน หมอจะนัดเราไปพบหลังจากนั้นอีก 1-2 วัน คราวนี้ก็เหมือนเดิม ถึงเวลาที่ประจำเดือนมามันก็ไม่มาอีก ทำให้เรามีความหวังเล็กๆ อีกรอบ ถึงวันไปพบหมอ เจาะเลือดดูผลฮอร์โมน คราวนี้ระดับฮอร์โมนไม่สูงขึ้นเลย แสดงว่าแห้ว อีกตามเคย...หมดแล้วตัวอ่อนที่เหลืออยู่ หมดกันโอกาสจะมีลูกโดยวิธีนี้ แล้วก็หมดเงินไปทำสองรอบ เกือบสองแสน หมดหวัง...หรือเปล่า ก็ยังหวังอยู่ แต่ถามว่าจะไปทำอีกรอบหรือเปล่า...
ตอนแรกก็อยากไปทำอีกรอบนะ แต่พอมาถึงตอนนี้ผ่านไปปีกว่าๆ แล้ว ไม่ได้รู้สึกอยากจะไปทำอีกแล้ว อยู่กันไปแบบนี้แหละสองคนก็สบายดีนะ จะไปไหนมาไหน จะกินอะไร จะทำอะไร ก็ไม่ต้องมานั่งห่วงใคร ห่วงกันและกันแบบนี้แหละ
เคยคิดนะว่าอยากมีลูกเผื่อว่าเราแก่เฒ่าไปหวังว่าจะมีคนมาคอยดูแลเรา อย่างน้อยขับรถพาเราไปโรงพยาบาล แต่พอถามพ่อแม่คนอื่นที่มีลูกเค้าก็บอกว่าไม่ได้หวังเลยว่าลูกๆ ของพวกเค้าจะมาดูแลตอนแก่ ตอนนี้ก็แค่เลี้ยงเค้าให้ดี ให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่เค้า แล้วเมื่อโตขึ้นเค้าสามารถที่จะดูแลตัวเองได้ก็พอแล้วไม่ได้หวังให้เค้ามาดูแลเรา
อืม...นั่นสินะ...เอาล่ะคิดอะไรมากมาย ทำงานๆ เก็บเงินเอาไว้ มีโอกาสก็ไปเที่ยว พอแก่ตัวมาไม่มีใครดูแลก็ไปอยู่บ้านพักคนชรา ก็คงจะดีกว่ามาอยู่กันลำพัง อย่างน้อยก็มีคนอื่นๆ เป็นเพื่อน
อาจจะเขียนไม่ละเอียดนักเพราะมันผ่านมาเป็นปีแล้ว...นั่งเขียนเท่าที่พอจำได้ คิดว่าเขียนไว้ดีกว่า ก่อนที่จะลืมมันไปมากกว่านี้....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น