วันนี้ตื่นเช้ามาไม่รู้จะไปไหนดี จะไปเดินห้างก็ยังไม่เปิด ห้างที่นี่เปิด 10.30 น. ก็เลยออกมาเดินแถวใกล้ๆ โรงแรมที่เราพักซึ่งไม่ไกลจากจิมซาจุ่ย เดินพอเหนื่อยก็ถึง เดินไปเรื่อยๆ จากถนนโน้น ไปถนนนี้ ร้านรวงต่างๆ ก็เริ่มทยอยเปิด แวะไปเดินสวนสาธารณะมาด้วย ชื่อ Kawloon Park อยู่ในย่านจิมซาจุ๋ยนั่นแหละ มีคนมาเดินเล่น ออกกำลังกาย มานั่งสมาธิกัน ก็เหมือนๆ สวนลุมบ้านเรานั่นแหละ ที่สังเกตคือ คนงานที่ทำงานไม่ว่าจะรดน้ำต้นไว้ เก็บกวาดใบไม้ พรวนดิน จะเป็นคนแก่ทั้งหมดเลย ทั้งชายและหญิง ช่วงเช้านี้ที่เราไม่กล้าไปไกลจากโรงแรม เพราะต้องกลับเข้าไปโรงแรมก่อนเที่ยงเพื่อเช็คเอาท์ แล้วฝากกระเป๋าเค้าไว้ก่อน แล้วจะไปไหนไกลๆ ค่อยว่ากันอีกที รถที่จะไปส่งสนามบินจะมารับตอน 18.30 น. ถ้าจะออกไปไหน ก็ต้องกลับมาที่ Lobby ของโรงแรมประมาณหกโมงเย็น อยากจะไปซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือตลาดสด ก็หาไม่มี เพราะแม่ฝากซื้อเชอรี่ หมดหวังแล้วล่ะ พอสายมากๆ ฝนก็เริ่มปรอยๆ อีกแล้ว เมื่อตอนช่วงเช้ายังไม่มีฝนเลย กำลังจะเดินกลับโรงแรม แล้วเห็นอาม่าแก่ๆ คนนึงเข็นรถเข็นผ่านมา ในรถเข็นมีผลไม้หลายชนิดเลย แต่ที่สะดุดตาคือเชอรี่นั่นเอง รีบวิ่งตามมาดักหน้าเลย ดูราคาแล้วเขียนเป็นภาษาจีนและเลข 25 ก็คิดว่าเป็นกิโลละ หรือปอนด์ละ 25 เหรียญ ก็เลยสั่งไป 4 คิดว่าในตะกร้านั้นคงหมดแน่นอน แต่เปล่าคุณยายหยิบถุงกระดาษใบนิดเดียวขึ้นมา แล้วหยิบใส่ๆ เอาขึ้นวางบนตาชั่งดู เข็มชี้ไปที่เลข 4 ยื่นให้ 100 เหรียญ คุณยายยื่นถุงเชอรี่ให้ พร้อมบอกเป็นภาษาจีน แปลความได้จากสายตา ว่าพอดีนะ 100 หิ้วถุงขึ้นมาดู วัดน้ำหนักยังงัย ก็ไม่ถึง 1 กิโลบ้านเรา 100 x 5 เข้าไปสิ จริงๆ มันสี่กว่าๆ คูณห้าแหละง่ายสุด ไอ้หย๋า...เกือบห้าร้อย ไม่ถึงโลจะบร้าตาย ตอนเรายืนซื้ออยู่ก็มีพวกอาหมวยมารุมซื้ออีก สี่ห้าคนนะ พูดภาษาจีนกัน ก็ไม่เห็นเค้จะบ่นจะว่ามันแพงนี่หว่า
Kawloon Park
แต่ก่อนไปถามแม่แล้วนะว่าที่เมืองไทยโลละ 480 เค้าบอกถาถูกกว่านี้ซื้อมาเลยกล่องนึง โอ้วว...อันนี้จากการที่ซื้อผลไม้เป็นประจำแบบไม่ต้องชั่งก็กะได้ว่า 1 กิโลมันต้องหนักกว่านี้สิน่า ดูๆ แล้วมันน้อยๆ งัยพิกล ก็เลยบอกพี่บิ้นว่าจะเอาอีกร้อยนึง พี่บิ้นบอกว่าไม่เอาดีกว่า มันแม่งๆ งัยอยู่ รู้สึกว่ามันจะแพงไปนะ ก็เลยได้มาแค่นั้นแหละ จากนั้นก็หิ้วกลับโรงแรม มาถึงโรงแรม จัดกระเป๋าสำรวจว่าไม่ลืมอะไรแล้ว ก็ขนกระเป๋าลงมา lobby เช็คเอาท์เสร็จฝากกระเป๋า แล้วก็ตั้งใจว่าจะไป ไหว้เจ้าแม่กวนอิมที่ Repulse Bay กัน เดินทางไปโดย ขึ้นรถไฟใต้ดินไปขึ้นที่สถานี Central หรือ อาจข้ามเรือ Ferry จาก Tsim Sha Tsui มาที่ท่าเรือ Central แล้วเดินไปที่ตึก Exchange Square ขึ้นรถเมล์สาย 6, 6A, 6X, 66 หรือ 260 เราขึ้นรถเมล์สาย 60 A กัน พอขึ้นรถปุ๊บ รถวิ่งออกมาได้ซักพัก ฝนก็เริ่มตกลงมาปรอยๆ แต่ก็พอเดินได้ นั่งรถเมล์ขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ไกลเหมือนกันใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงได้ ผ่าน Ocean Park ด้วย เห็นกระเช้าลอยเต็มเลย มาคราวนี้ไม่ได้ขึ้นกระเช้าเลย ผ่านตรง Ocean Park ไปซักพัก ก็สังเกตเห็นมีหาดทรายกว้างๆ แต่มองหาวัด หรือเจ้าแม่กวนอินไม่เจอ พอรถเมล์จอดก็คอยชะเง้อมองป้ายว่าถึงหรือยัง พอรถจอดป้ายนึงมองไปด้านซ้ายตรงปากซอยมีป้ายอยู่เขียนว่า Repulse Bay พากันจะวิ่งลงไป แม่ลูกคู่นึงนั่งใกล้ๆ เราคาดว่าเป็นคนฮ่องกง รีบบอกเราว่า Next stop ราวกับรู้ว่าเราจะไปไหน ก็เลยขอบคุณเค้า และแล้วรถเมล์ก็มาถึงป้าย Repulse Bay หันไปถามเค้าเพื่อความมั่นใจอีกทีว่าป้ายนี้ใช่มะ เค้ายืนยันว่าใช่ ก็รีบวิ่งลงไปเลย เพราะเรานั่งบนชั้น 2 ด้านหน้าสุดเลย
พอลงรถเมล์ปุ๊บ โชคช่างเข้าข้างเราเหลือเกิน ฝนตกลงมาอย่างหนักเลย วันนี้ไม่ได้เอาเสื้อกันฝนติดกระเป้มาด้วยสิ หยิบร่มขึ้นมากาง เดินข้ามถนนลงบันไดไปตรงชายหาด เดินเลาะชายหาดไปเรื่อยๆ ก็เห็นเจ้าแม่กวนอิมองค์สีขาวๆ ใหญ่ๆ อยู่สุดชายหาด กว่าจะไปถึงตรงเจ้าแม่กวนอิมอยู่ก็เล่นเอาเปียกปอน เพราะร่มคันนิดเดียวเดินกางกันไปสองคน ตรงเจ้าแม่กวนอิม มีศาลาเล็กให้เข้าไปหลบฝนแต่คนเข้าไปเต็มหมด เราก็มุดๆ เข้าไปแอบๆ อยู่ ได้ซักพักใหญ่ๆ ฝนเริ่มซาๆ ก็เลยเดินลงไปด้านล่างอีกหน่อย ป้าดด..โถ่ ศาลาอันเบ้อเริ่มอยู่ข้างล่างนี่เอง ฝนก็ยังตกปรอยๆ อยู่ไม่ขาดสายก็ถ่ายรูปมันในศาลานี่แหละ เอาพาสปอร์ด เอาตั๋วเครื่องบินจากเป้มาดูเปียกฝนโม้ดดดด เซ็งจริงๆ ก้มลงมองตัวเอง เหมือนลูกหมาตกน้ำเลย พอฝนหยุดก็รีบเดินถ่ายรูปแถวๆ นั้น เดินเล่นชายหาดแป๊บนึง เห็นก้อนเมฆดำๆ มาอีกก้อน ก็เลยรีบวิ่งขึ้นไปบนถนนเพื่อรอรถเมล์ ไม่ทันพ้นชายหาด ตกลงมาอีกแล้ว คราวนี้หนักกว่าเดิมกว่าจะขึ้นไปถึงป้ายรถเมล์ เปียกอีกรอบแล้ว พอขึ้นบนรถเมล์ก็หนาวสิคับพี่น้อง เพราะตัวเปียก แอร์เย็นจัด
นั่งรถเมล์มาจนถึงแถว central รถจอดป้ายหน้าร้าน Louis Vuitton ร้านนี้ใหญ่มากเลย มันต้องมี Neverfull แน่ๆ ไม่ละความพยายาม เดินเข้าไปทั้งที่มอมแมมเปียกปอนแบบนั้น มันคงคิดแหละว่า แต่งตัวสภาพแบบนี้คงไม่มีปัญญาซื้อของของมันแม่เลย และแล้วก็เจอ Neverfull ให้พนักงานหยิบให้ดู มันไม่สนใจมาบริการเลย ดูทั้งใบเล็ก ใบกลาง ถามราคาแล้ว ใบเล็กไม่ถึงสองหมื่น ในกลางแค่หมื่นกะหกร้อย...เดินวนไปวนมาซักพัก ตัดสินใจ ซื้อเลย..เค้าฝากมาให้ดูให้นะ ไม่ได้บอกให้ซื้อให้ แต่มันถูกใจจริงๆ อยากเป็นเจ้าของซะเอง เดินไปบอก ขอดูอีกที จะเอาอันนี้แหละ พนักงานมันเห็นท่าว่าเราจะเอาจริง มันก็บอกว่ารุ่นนี้หมดมีแต่ตัวโชว์ นั่น...อุตสาห์ตัดใจซื้อหลุยส์เป็นครั้งแรกนะเนี่ย อดเลย ถามไปว่าจะมาอีกเมื่อไหร่ มันบอกไม่รู้เหมือนกัน เซ็งเลย ก็ดี ไม่ต้องเสียตังค์
จากร้านหลุยส์ พี่บิ้นอยากกลับไปร้านกล้องที่ไปเดินวันแรกอีกทีนึง ก็เลยพากันไปเดิน เห็นถามราคาฟิวเตอร์มันบอกราคา 800 ต่อมันก็ไม่ลด พี่บิ้นรีบพาเดินออกร้าน ก็เลยสงสัยว่าทำไมตั้งใจมาแล้วทำไมไม่ซื้อ พี่บิ้นบอกวันก่อนถามมันมันบอกแค่ 600 เอง วันนี้ดันบอก 800 ร้านออกใหญ่โต ขายของแบบนี้ ไม่ไหว ส่อแววไม่ดี ไม่ซื้อดีกว่า เอาล่ะสิ..ไม่รู้จะไปไหนต่อ เกิดหิวขึ้นมาก็ไปหาอะไรกินกันเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น ชื่อโยชิโนย่า เห็นว่ามีสาขาอยู่หลายประเทศ เคยมาเปิดที่เมืองไทยก่อนจะมีฟูจิซะอีก แต่เจ๊งไปแล้ว แต่ที่นี่คนเยอะเลยแหละ สั่งข้าวหน้าเนื้อมากินอร่อยดี กินเสร็จก็แกร่วอยู่ห้างแถวถนน Nathan แต่ด้วยความที่เราตัวเปียก แอร์ในห้างก็เย็นคอดๆ เค้ามีขายของลดราคา แต่ดูแล้วมันก็ยังแพงอยู่ อยากจะซื้อเสื้อกันหนาวเอามากๆ เลย เพราะรู้สึกหนาวสุดๆ แต่ก็ไม่ได้ซื้อมา เดินดูของได้ซักพัก ไม่ได้อะไรอีกเลยไปเดินร้าน Sasa ต่อ เลือกอยู่ตั้งนาน ได้น้ำหอม Burberry Summer มาขวดนึง
เสร็จแล้วก็กลับมาโรงแรม พอมาถึงโรงแรม เข้าห้องน้ำได้ซักพัก ตอนแรกกะว่าจะกลับมาเปิดกระเป๋าเอาเสื้อผ้าออกมาเปลี่ยนซักหน่อย เพราะใส่กางเกงขาสั้น แถมเปียกไปทั้งตัวด้วย กลัวอยู่บนเครื่องจะหนาว แต่ไม่ทันรถมารับซะก่อน พอขึ้นรถก็มีคนอยู่บนรถประมาณ 4 คน หน้าไม่คุ้น ไม่ใช่กลุ่มเดิมกับที่นั่งมาด้วยกันวันที่มาถึง คิดว่าคนอื่นเค้าคงไม่อยู่ถึงห้าวัน คงกลับกันไปหมดแล้วล่ะ รถวิ่งวนรับคนอยู่ 3 โรงแรม ฝนตก รถติด กว่าจะไปถึงสนามบินก็ได้เวลาเช็คอินพอดี สองทุ่มครึ่ง รีบเอากระเป๋าไปทำการเช็คอินเสร็จ พี่บิ้นเอาบัตร Octopus ไปแลกเอาเงินมัดจำ กับเงินที่เหลือในบัครคืน เสร็จแล้วก็หาอะไรกินอีกแล้วล่ะสิทีนี้เพราะคิดว่าบนเครื่องเค้าไม่เสริ์ฟ เพราะเครื่องออกตั้งสามทุ่มสิบนาทีแน่ะ ที่สนามบินมีร้านให้เลือกหลายร้านทั้งแม็ค บะหมี่ แต่เราเลือกร้านสปาเก็ตตี้ เฮาสท์ เพราะเห็นมันน่ากินดี ดูเมนูหน้าร้านแล้ว ราคาพอๆ กะบะหมี่ พอนั่งมันเอาเมนูมาให้ดูเท่านั้นแหละ ไม่เห็นจะเหมือนที่มันตั้งที่หน้าร้านเลย ถามมัน มันบอกอันนั้นเป็นพวกสลัด และอาหารเช้า โอ้วว...แม่เจ้า แต่ละอย่าง 75 เหรียญขึ้นไป นั่งแล้วนี่ พลาดไปแล้ว งัยก็ต้องสั่งสั่งสปาเกตตี้มาจานนึงถามว่านานมะ แค่ 15 นาที แต่จานใหญ่มาก กินตั้งนานไม่หมด มัวแต่กินไปคุยกันไป รู้ตัวอีกทีไม่ทันแล้ว เค้าเรียกขึ้นเครื่อง 22.45 นี่ก็ปาเข้าไป สามทุ่มสิบแล้ว รีบจ่ายเงินวิ่งเข้า ตม. กว่าจะเข้าคิวรอตรวจพาสปอร์ต พอผ่าน ตม. วิ่งหน้าตั้งไป Gate ทันที
เครื่องออกที่ Gate 3 คิดว่าไม่ไกล วิ่งกันสุดชีวิต โธ่ว่าจะซื้อขนม ของฝาก ช้อคโกแล็ตมาให้น้องๆ หมดกัน ไม่ได้ซื้ออะไรเลยพอไปถึง Gate เห็นคนกำลังทยอยเดินเข้าไปเกือบหมดแล้ว หันไปซ้ายมือ มีร้านขายพวกช็อคโกแล็ตอยู่ตะโกนบอกพี่บิ้นขอซื้อหนมก่อนนะ พี่บิ้นบอกเอาดิ รีบหยิบช้อคโกแลต 2 กล่องรีบจ่ายเงินรีบวิ่งขึ้นเครื่อง เหนื่อยสุดๆ ไม่เคยวิ่งอะไรขนาดนี้มานานแล้ว หอยแฮ่กๆ เลย เรื่องยังไม่จบพอขึ้นเครื่องมา เราได้ที่นั่ง 33D, E พอไปถึงที่นั่งเป็นที่นั่งติดกัน 4 ตรงกลาง แต่ไอ้ที่ที่เรามันจะต้องมีคนนั่งขนาบข้างสองคน และเราสองคนนั่งตรงกลาง แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ดันมีไอ้ตี๋นั่งริมฝั่งขวา แล้วมีเด็กอายุประมาณ เจ็ดแปดขวบหน้าตาออกฝรั่ง นั่งสลับเป็นฟันปลาเลย อ้าว...แล้วเราสองคนจะนั่งกันงัยเนี่ยพี่บิ้นก็เลยไปถามเด็กว่ามากะใคร พ่อแม่อยู่ไหน ขอดูบัตรที่นั่งหน่อย เด็กมันก็ยืนยันว่านั่งตรงนี้แหละ พี่บิ้นบอกไม่ใช่ เด็กก็เลยวิ่งกลับไปถามแม่ เด็กกลับมาพร้อมแม่ แม่มันทำหน้าหงุดหงิดเชียว ดูไปดูมา มันนั่นแหละให้ลูกนั่งผิด ก็เห็นแม่มันถามเด็กนะว่านั่งได้ไม๊ไม่เป็นไรนะ แค่สอง ชม. เอง พูดเป็นภาษาอังกฤษ ก็เลยให้น้องย้ายไปนั่งที่ริมทางเดินอีกฝั่ง เราก็นั่งตรงกลางสองคน ตอนแรกพี่บิ้นนั่งติดกับเด็ก เด็กนั่งตัวแข็งเลย คงเพราะตกใจโดนไล่ที่ พี่บิ้นเห็นเด็กเกร็งมาก ก็เลยย้ายให้เราไปนั่งใกล้ๆ เด็กเห็นเด็กมันเกร็งๆ ก็ชวนคุยเป็นภาษาปะกิดแหละ เด็กก็ตอบมาเป็นภาษาปะกิด คุยกันอยู่ซักพัก เราก็หันไปคุยกะพี่บิ้น เด็กมันก็เงี่ยหูฟังใหญ่เลย
พอหันไปอีกที เด็กน้อยก็พูดขึ้นมาว่า I can speak thai เท่านั้นแหละ โล่งอก คราวนี้เราสองคนก็คุยกันจ้อเลย ถามได้ความว่ามากับพ่อและแม่ แต่โดนจับแยกมา เด็กมันบอกว่า หนูไม่รู้ว่าพ่อกะแม่นั่งด้วยกันหรือเปล่า แต่ที่รู้หนูถูกจับแยกมานั่งตรงนี้ แอร์ก็พยายามที่จะหาที่นั่งให้น้องได้นั่งกับแม่เดินไปเดินมาตั้งนาน เพราะเครื่องวันนี้เต็มจริงๆ ซักพักก็มาจูงเด็กไปเห็นว่าได้ที่นั่งแล้ว ไอ้เราก็นึกว่าไม่มีใครมานั่งด้วยแล้วเชียว แต่ซักพักก็มีผู้หญิงเดินมานั่ง แต่ขอบอกนั่งบนเครื่องไม่อยากหันหน้าไปทางพี่บิ้น บักตี๋ที่นั่งข้างพี่บิ้นมันยกตรีนขึ้นมาแต่ละที ตรีนมันเหม็นสุดๆ
อาหารบนเครื่องวันนี้เป็น ข้าวกับปลา ข้าวกับเนื้อแกะ พี่บิ้นเลือกปลา แล้วให้เราเลือกแกะ สุดท้ายก็กินแกะไม่ลง เพราะเหม็นเอามากๆ เหม็นเครื่องเทศออกแขกๆ นั่งไปหลับไป ดูหนังไป กลับมาถึงเมืองไทยผ่าน ตม. เสร็จรับกระเป๋า ก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนกว่า ศักดิ์มารับกว่าจะถึงบ้านเช็คเมล์ เข้านอนก็ปาเข้าไปตีหนึ่งกว่า พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแล้วล่ะ ไปอีกวันเดียวก็ได้หยุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น