บ้านเราอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสถานีรถไฟใต้ดิน เวลาเดินทางไปไหนเราใช้การเดินจากบ้านไปขึ้นรถที่สถานี จากบ้านไปถึงสถานีจะใช้เวลาเดินประมาณ 5-10 นาที แล้วแต่ความเร็วในการเดิน พอถึงสถานีปลายทางก็พาเดินต่อไปอีกประมาณ 5 นาที ถึงจุดที่จอดรถรับส่งของโรงเรียน ซึ่งเราเรียกว่ารถมาลัย หลายคนสงสัย รถมาลัยหน้าตาเป็นแบบไหน เป็นรถไม้แบบที่ใช้วิ่งในสวนสัตว์ จะวิ่งรับ ส่งเด็กนักเรียนที่เดินทางมาด้วยรถไฟใต้ดิน และบนดินที่มาลงตรงปากซอย ไปส่งถึงในโรงเรียนค่ะ
ขากลับตอนเย็นก็เดินกลับค่ะ คราวนี้เดินไกลกว่ารับเสร็จจะพาเดินออกจากโรงเรียนไปขึ้นรถที่สถานี ใช้เวลาเดิน 10-15 นาที เพราะค่อนข้างไกลแต่จะเดินกันแบบช้าๆ ไม่รีบ เดินไปคุยกันไป เตรียมหมวก ร่มกันแดด ถ้าฤดูฝนก็เตรียมเสื้อกันฝนติดกระเป๋าไปด้วย พาน้องมามิเดินไปขึ้นรถใต้ดินเพื่อเดินทางไปโรงเรียนทุกเช้า และเย็นตั้งแต่อนุบาล 1 จนตอนนี้เรียนชั้น ป.1 แล้วก็ยังทำแบบนี้อยู่เป็นประจำและจะทำไปเรื่อยๆ
เหตุผลหลักในการเลือกโรงเรียนให้มามิ คือความสะดวกในการเดินทางรับส่ง และถึงแม้โรงเรียนจะค่อนข้างไกลบ้านและอยู่ในย่านรถติด แต่ถ้าเดินทางด้วยรถไฟฟ้าถือว่าสะดวกที่สุดค่ะ ตอนที่เค้ายังเล็ก ตอนเรียนอนุบาล 1 ก็เริ่มฝึกให้เค้าเดินในระยะสั้น สลับกับการอุ้มบ้าง พอโตขึ้นก็เพิ่มระยะทางขึ้นไปเรื่อยๆ จนตอนอนุบาล 2 ก็เริ่มเดินได้เองตลอดเส้นทางไปและกลับค่ะ
มามิไม่เคยถามว่าทำไมพ่อกับแม่ไม่ขับรถพาหนูไปโรงเรียน ถึงเค้าไม่เคยสงสัย แต่ก็เคยได้อธิบายถึงข้อดีของการที่ให้เค้าเดินไปโรงเรียนทุกวันว่า การได้เดินทุกเช้าทุกเย็น เป็นการออกกำลังกายที่ดี ทำให้สุขภาพแข็งแรง ไม่ป่วยง่าย หรือถ้าร่างกายเราแข็งแรง เมื่อเจ็บป่วยก็จะไม่เป็นหนัก และจะหายเร็ว ตั้งแต่เล็กจนถึงตอนนี้มามิไม่เคยป่วยจนถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาล เป็นไข้ เป็นหวัด ไม่กี่วันก็หาย เพราะได้เดินออกกำลังกายเป็นประจำ ในขณะที่เพื่อนร่วมชั้น หรือเด็กคนอื่นที่เรารู้จัก ป่วยทีต้องนอนโรงพยาบาลกันเป็นอาทิตย์กันเลย ซึ่งเค้าก็เข้าใจ และเกิดความภาคภูมิใจด้วย
เคยมีแม่ของเพื่อนร่วมชั้นของเพื่อนของมามิ เค้าสังเกตเห็นว่าเราทำแบบนี้แล้วดี ลูกสุขภาพดี แข็งแรง เค้าก็เริ่มทำตาม นั่งรถไฟฟ้ามาจากบ้านแล้วเดินจากปากซอยเข้าไปในโรงเรียนเลย ไม่นั่งรถมาลัยเพราะอยากให้ลูกได้เดินออกกำลังกายจะได้ไม่ป่วยง่าย แต่สำหรับเราเดินมาจากบ้านก็ไกลพอแล้ว ขอนั่งรถมาลัยจากปากซอยเข้าไปดีกว่าค่ะ
การเดินไปโรงเรียนมีข้อดีหลายอย่าง เช่น มิตรภาพตามข้างทางที่เราเดินผ่าน ลุงวินมอเตอร์ไซด์รับจ้างปากซอยบ้านเรา ที่เราไม่เคยใช้บริการเลย ก็ชื่นชม และทักทายกันทุกวันเวลาเดินผ่าน ป้าร้านขายผลไม้ก่อนถึงสถานีรถไฟฟ้า ที่ขากลับแม่มักจะแวะซื้อผลไม้เค้าเป็นประจำ วันไหนแม่ลืมของต้องรีบวิ่งกลับไปเอาที่บ้านจะพาลูกเดินกลับไปด้วยก็ช้า ก็สามารถฝากมามิไว้กับเค้าได้ คุณป้าก็จะชวนพูดชวนคุย หาเก้าอี้มาให้นั่งรอ เคยมีครั้งตอนมามิยังอยู่อนุบาล 1 ขากลับลงจากรถไฟฟ้า ฝนเกิดตกลงมา มือนึงอุ้มลูก มือนึงถือร่ม เดินผ่านรถเข็นขายข้าวโพดต้ม มามิบอกหนูอยากกิน บอกลูกว่า วันนี้คงซื้อไม่ได้ แม่ไม่รู้จะเอามือที่ไหนล้วงกระเป๋าหยิบเงินมาจ่าย คุณลุงคนขายได้ยินรีบยื่นให้ บอกเอาไปก่อน ไว้วันหลังค่อยเอาเงินมาให้ จากนั้นมาเดินผ่าน แวะซื้อบ้าง ไม่ซื้อบ้าง แต่ก็ทักทายกันทุกวัน
ยืนรอรถมาลัย
เช้าวันจันทร์ส่วนใหญ่จะไม่ขึ้นรถมาลัย เพราะรถในซอยจะติดมาก ทำให้รอรถนาน แล้วอาจจะทำให้เข้าเรียนสาย เราจึงเปลี่ยนเส้นทางเดินไปอีกฝั่ง ฝั่งนี้เองเราจะเจอกับคุณลุงขายหมูปิ้ง และทุกวันจันทร์อาม่าไม่อยู่บ้าน ทำให้มามิไม่ได้ทานข้าวเช้าไปจากที่บ้าน เลยได้แวะซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งของคุณลุงบ่อยๆ ทุกครั้งที่คุณลุงยื่นข้าวเหนียวหมูปิ้งให้ มามิจะยกมือไหว้ ทำให้คุณลุงจำหนูได้แม่นมาก พอมาช่วงหลัง แม่จะทำแซนวิชให้ทานก่อนออกจากบ้าน เวลาเดินผ่านร้านคุณลุง มามิก็จะยกมือไหว้ทักทายแล้วเดินผ่านไป แต่ไม่เคยได้ผ่านไปด้วยดี คุณลุงจะรีบวิ่งเอาข้าวเหนียว 1 ถุง หมูปิ้ง 2 ไม้มาให้ทานเสมอโดยไม่คิดเงิน จนต้องบอกให้มามิพูดเองว่า ขอบคุณค่ะแต่หนูทานมาแล้วค่ะ คุณลุงก็ยังใจดี ไม่เอาหมูปิ้งไม่เป็นไรคุณลุงก็มีน้ำมะพร้าวมาให้บ้าง น้ำส้มมาให้บ้าง ทุกครั้งที่แวะยกมือไหว้ทักทายก็จะยื่นมาให้ ห้ามปฏิเสธ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความประทับใจในมิตรภาพตามข้างทาง ตอนนี้เค้าห้ามขายของบริเวณนั้นไปแล้ว และตอนนี้คุณลุงไปขายตรงตึกเสริมมิตร มีที่ขายเป็นที่เป็นทางเป็นที่เรียบร้อย ลุงบอกว่าอาจจะขายไม่ดีเท่าตอนขายอยู่ตรงริมทางเท้า แต่ก็สบายใจ ปลอดภัยกว่า ไม่ต้องมาคอยวิ่งหนีเทศกิจ
บนรถมาลัย ถ้าวันไหนได้นั่งข้างหน้า ที่นั่งเดี่ยวข้างคนขับจะชอบมาก
มิตรภาพระหว่างเด็กๆ และพ่อแม่ระหว่างที่รอรถมาลัยมารับ เด็กๆ ได้ พูดคุย ทักทาย และเล่นด้วยกันระหว่างรอ รวมทั้งพ่อแม่ด้วย นั่งบนรถหันหน้าหากัน คุยกันไปตลอดทาง แม้ว่าลูกจะไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน หรือชั้นเดียวกันก็รู้จักกันหมดเพราะเห็นหน้ากันทุกวัน
ไม่ว่าจะเรียนพิเศษ หรือจะต้องไปไหนมาไหนถ้าพอเดินไปได้เราก็เลือกที่จะเดินค่ะ ระหว่างเดินไปด้วยกันก็คุยกันไป พบเห็นอะไรข้างทางก็ชี้ชวนกันดู เดินไปคุยกันไปเพลินๆ แป๊บเดียวก็ถึงจุดหมาย มามิไม่เคยบ่นว่า เหนื่อย เมื่อย ร้อน หรือเบื่อ เวลาแม่พาเดินไปไหนมาไหน แต่จะบ่น เบื่อ บ่นว่าเมื่อไหร่จะถึงทุกครั้งเวลาอยู่บนรถแล้วรถติดไม่ขยับไปไหนซะทุกครั้ง
การออกกำลังกายไม่หนักมาก ก่อนเข้าเรียนตอนเช้าก็เป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพของเด็ก และการเรียนรู้ในชั้นเรียน การเดินเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง แถมยังไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และยังดีสำหรับการเรียนรู้ของเด็กด้วย ทุกวันนี้การเดินไปโรงเรียนของเด็กๆ นั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ยากขึ้น เนื่องด้วยความสะดวกสบายที่พ่อแม่และเด็กต้องการ จึงขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียน บางคนก็เลือกเรียนโรงเรียนดังๆ ซึ่งแน่นอนไม่ได้อยู่ใกล้บ้าน ไม่สามารถเดินทางไปเองหรือใช้การเดินไปได้ จึงทำให้เด็กขาดประสบการณ์ในจุดนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
ทางเดินในโรงเรียนของหนู ต้นไม้เยอะ บรรยากาศร่มรื่นมาก
ตอนนี้ทุกเย็นถ้าไม่มีรถมาลัยให้บริการก็จะมีเจเจเพื่อนร่วมชั้น กับคุณแม่เดินกลับด้วยกัน เดินไปคุยไปเล่นเกมกันไปสนุกสนาน บางวันถึงขั้นไม่ยอมนั่งรถมาลัยกันเลย บอกหนูจะเดิน มันสนุกดี
สำหรับเด็กๆ ที่มีบ้านใกล้โรงเรียน หากมีโอกาสได้เดินไปโรงเรียนเอง หรือไปพร้อมพ่อแม่ หรือผู้ปกครอง ก็คงเป็นประสบการณ์ที่ดีประสบการณ์หนึ่ง แถมการเดินไปโรงเรียนนั้นยังส่งผลดีทั้งต่อสุขภาพของเด็ก และต่อจิตใจด้วยค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น