วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
หนูอยากกิน Popcorn
วันนี้พามามิกับโมโม่เดินจากบ้านไปสถานีรถไฟ อยากให้เด็กๆ ได้เห็นรถไฟใกล้ๆ อีกอย่าง มาอยู่แถวหัวลำโพงมา 7 ปีแล้วเดินผ่านไปขึ้นรถไฟใต้ดินแทบทุกวัน อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน แต่ไม่เคยพาเด็กๆ ไปดูรถไฟเลย ตอนไปถึงมีรถไฟจอดอยู่ 3 ขบวน ขบวนแรกไปฉะเชิงเทรา อีกขบวนไปสุรินทร์ ขบวนที่ 3 จอดไกลเลยไม่ได้เดินไปดูว่าจะไปไหน พาเด็กๆ
เดินไปตามชานชลา ชี้ให้ดูขบวนรถไฟที่จอดอยู่ โมโม่กับมามิบอกว่าหนูอยากขึ้น เลยบอกไปว่าวันนี้แม่พาเดินมาดูเฉยๆ ไม่ได้ซื้อตั๋ว และอีกอย่างก็ไม่รู้ว่าจะนั่งไปลงที่ไหน จะกลับยังงัย รอวันไหนว่างเราวางแผนการเดินทางก่อนแล้วค่อยมาขึ้นกัน อธิบายไปเดินไป พี่เจ้าหน้าที่คงได้ยินที่แม่คุยกับเด็ก พอเดินกลับมาอีกรอบพี่เค้าเลยบอกแม่ว่า ขบวนที่จะไปสุรินทร์ยังไม่ออกจะออกตอน 11 โมง พาเด็กๆ ขึ้นไปเดินเล่น เดินดู ลองนั่งเล่น หรือถ่ายรูปได้เลย เดินขึ้นไปได้เลยไม่ต้องกลัว แม่เลยพาเด็กๆ ขึ้นไปเดินเล่น เด็กๆ ตื่นเต้นกันน่าดู
จากนั้นเราจะไปสวนลุมกันต่อ แต่ต้องไปซื้อขนมปังไปให้ปลา เลยไปเดินหาเซเว่นที่สถานีรถไฟ โมโม่เห็นโดนัทก็อยากกิน ส่วนมามิจะขอซื้อป๊อบคอร์นร้านที่อยู่ติดกับโดนัท แม่สั่งโดนัทให้โมโม่ แล้วบอกให้มามิไปสั่งป๊อบคอร์นเดี๋ยวแม่ตามไปจ่ายตังค์ ขณะที่กำลังรอจ่ายเงินค่าโดนัทอยู่ก็เห็นเด็กประมาณสองขวบตัวดำมอมแมมเดินไปมา โดยมีแม่ตัวอ้วนๆ เดินตามอยู่ห่างๆ พอจ่ายค่าโดนัทเสร็จก็เดินมาจ่ายค่าป๊อบคอร์น ระหว่างที่จ่ายเงินและรับเงินทอนอยู่หางตาก็เหลือบไปเห็นเด็กน้อยหน้าตามอมแมมกำลังเอามือตีที่แขนโมโม่โดนแบบเฉียดๆ แบบที่โมโม่ไม่ทันรู้สึกตัว แม่เค้าก็รีบมาคว้าอุ้มไป
เสียงเด็กร้องไห้จ้า เราก็ทำหน้าตกใจ แม่ค้าเลยพูดว่าเด็กเค้าคงอยากกินป๊อบคอร์น เลยบอกแม่ค้าว่าขอถุงหน่อยกะจะแบ่งของเราไปให้ครึ่งนึงเพราะรู้ว่ายังงัยลูกเราก็กินไม่หมด แม่ค้าบอกไม่เป็นไรเดี๋ยวเค้าเอาให้เด็กเอง แม่ค้าหยิบป๊อบคอร์นใส่ถุงเสร็จก็เลยให้มามิเดินเอาไปให้น้องที่กำลังร้องไห้อยู่ พอน้องได้ป๊อบคอร์นหัวเราะดีใจใหญ่เลย...แม่ค้าเห็นเค้าก็ดีใจ เราก็เลยเดินไปขอบคุณเค้าแทนเด็กคนนั้น จริงๆ แล้วคนในสังคมเราก็มีน้ำใจกันเยอะนะ
ในขณะที่เรามีเหลือกินเหลือใช้กินทิ้งกินขว้าง แต่คนอื่นเค้าไม่มี หรือมีเงินไว้แค่ซื้อข้าวกินเท่านั้นของกินอย่างอื่นไม่จำเป็นเค้าก็ไม่ซื้อกิน
วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
ลูกปากแตก ปากแห้งเป็นขุย ผิวหน้าแห้ง ทำอย่างไรดี?
เมื่อปีที่แล้วได้พูดถึงเรื่องกลิ่นตัวในเด็ก และได้พูดถึงผลิตภัณฑ์โรลออนระงับกลิ่นกายสำหรับเด็ก มีแม่ๆ ให้ความสนใจมาสอบถามพูดคุยแชร์ประสบการณ์กันหลายท่านเลยค่ะ วันนี้อยากจะมาพูดถึงเรื่อง ปากแห้ง แตกเป็นขุยในเด็ก ซึ่งช่วงนี้เป็นหน้าหนาว ถึงแม้ว่าอากาศในกรุงเทพไม่หนาวเท่าไหร่ เพราะความหนาวมาเยือนแค่ 3 วันแล้วก็จากไป แต่อย่างไรก็ตอนอากาศในช่วงนี้ก็ยังแห้ง แถมบางทียังร้อนจัดอีกด้วย
พอหน้าหนาวมาเยือน เด็กบ้านนี้ก็ปากแห้งจนลอกเป็นขุยเลยค่ะ เผลอเป็นไม่ได้จะต้องเอานิ้วไปดึงจนเลือดไหลซิบๆ ดึงจนเป็นแผล พอห้ามไม่ให้เอามือไปดึงก็เอาลิ้นเลีย กัดริมฝีปาก เอาฟันขูดๆ บ้าง คงรำคาญนั่นแหละค่ะ เลยต้องมาหาสาเหตุ และหาทางแก้ไข ปล่อยไว้เป็นแผลพุพองเป็นแน่
ลองไปอ่านบทความต่างๆ ดู พอจะสรุปได้ว่า สาเหตุของอาการปากแห้งไม่ได้มาจากอากาศหนาวอย่างเดียวนะคะ อากาศเปลี่ยน อากาศหนาวหรือร้อนจนร่างกายสูญเสียน้ำ ปากลูกอาจแห้ง เป็นขุย และปากแตกจนมีเลือดออกได้ค่ะ ริมฝีปาก แห้ง แตก และเป็นขุยส่วนใหญ่ อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุที่พบมากในเด็กๆ คือ ดื่มน้ำน้อยอยู่ในที่อากาศเย็น อยู่นอกบ้านโดนลมแรง หรือแพ้สารเคมีในยาสีฟัน
พอลูกปากแห้งแตกถ้าอยู่บ้านก็ต้องหมั่นให้ลูกดื่มน้ำบ่อยๆ ไปโรงเรียนก็ต้องคอยกำชับทุกวันว่าให้ดื่มน้ำด้วยนะ ซึ่งพอเด็กไปโรงเรียนแล้วเรื่องดื่มน้ำนี่ลืมไปได้เลย ใส่กระติกไปเท่าไหร่ กลับบ้านมาเท่านั้น ที่หนักกว่านั้นคือเด็กเรียนในห้องแอร์ด้วยปากก็ยิ่งแห้งไปใหญ่ จะทำยังงัยจะให้หายก็คงต้องหาผลิตภัณฑ์บำรุงฝีปากมาให้ลูกใช้ ลิปมัน ลิปบาล์ม ยี่ห้ออะไรดีละสำหรับผู้ใหญ่ในท้องตลาดมีเยอะแยะหาได้ไม่ยาก แต่สำหรับเด็กเนี่ยสิ แม่บางคนบอกว่าจะให้ใช้ลิปมัน ลิปกลอส ที่มีขายกันทั่วไปก็ไม่กล้า เพราะกลัวว่าจะมีสารกันบูด กับกลิ่นที่เป็นอันตรายกับผิวเด็ก บางคนถึงขั้นลงมือทำลิปมันให้ลูกใช้กันเลยค่ะ
แม่แหม่มมีวิธีง่ายๆ แค่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับเด็กของ TooFruit ขอแนะนำตัวนี้ค่ะ ผลิตภัณฑ์บำรุงฝีปาก บีซูดุกส์ (BISOU DOUX ) เป็นเจลบำรุงริมฝีปากเพื่อบำรุงเหมือนกับทาลิปติกทั่วๆ ไปมีส่วนผสมของราสเบอรี่และอัลมอนด์ทำให้ริมฝีปากไม่แห้งตึงและดูชุ่มชื้นตลอดเวลา ใช้ทาริมฝีปากได้บ่อยครั้งตามต้องการ เนื้อเจลขนาด 10 มล.
เนื้อเจลของ TooFruit บีซูดุกส์ และ บีซูดุกส์ มาดมัวแซล
ใช้แล้วชอบ กลิ่นดี มีเนื้อเจลสีขาวขุ่น บีบลงที่มือแล้วทาริมฝีปากให้ทั่ว ไม่เงา ไม่มัน และไม่เหนียวเหนอะหนะ ทาก่อนนอน ตื่นขึ้นมาแล้วริมฝีปากนุ่มชุ่มชื่น ใช้ด้วยกันทั้งลูกสาวและแม่เลยค่ะ เป็นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคจึงมั่นใจได้ว่าปลอดภัยกับผิวเด็กและผิวเราด้วย
ตอนนี้มีตัวใหม่ออกมาด้วยเป็น บีซูดุกส์ มาดมัวแซล (BISOU DOUX Mademoiselle) เจลบำรุงริมฝีปากที่มีส่วนผสมของเชอรี่และอัลมอนด์ เนื้อเจลสีชมพู กลิ่นหอมเชอรี่ เนื้อเจลเนียนนุ่ม ไม่เหนียวเหนอะหนะ กลิ่นนี้มามิชอบมากเลยค่ะ ขอพกเอาไปโรงเรียนด้วย จะได้หยิบมาทาได้บ่อยๆ
พูดถึงปากแห้งแล้วไปแล้ว ขอพูดถึงผิวหน้าแห้งอีกเรื่องละกันค่ะ ทำไมลูกถึงมีผิวแห้ง?
อากาศนอกบ้าน หากลูกต้องอยู่ในสถานที่กลางแจ้ง หรืออากาศร้อนนานๆ จะทำให้ลูกสูญเสียน้ำในร่างกาย ได้ง่ายและมากขึ้น ทำให้ลูกสูญเสียน้ำในร่างกายมากขึ้น และอากาศในบ้าน หากลูกอยู่ในห้องแอร์ หรือที่ที่มีอากาศเย็นตลอดวัน ก็จะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื่น เกิดผื่นแดง ผิวแห้งแตก ลอก เป็นขุย และเมื่อลูกรู้สึกไม่สบายตัวก็จะแคะแกะเกา ซึ่งอาจทำให้ผิวเกิดการ ติดเชื้อได้ค่ะ
ผิวหน้าแห้งก็มาจากสาเหตุที่เหมือนกันกับปากแห้งควรให้ลูกดื่มน้ำให้มากเพื่อช่วยรักษาระดับน้ำและความชุ่มชื่นในร่างกาย และเพื่อให้ลูกมีผิวเนียนนุ่ม ควรเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตราย และไม่มีสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ปลอดภัยต่อผิวของลูก สิ่งสำคัญในการดูแลผิวลูกคือเรื่องความสะอาดที่ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนเรื่องการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวก็ต้องคำนึงถึงเรื่องความอ่อนโยน และความเหมาะสมกับผิว รวมถึงวัยของลูกด้วย เพื่อให้ลูกมีสุขภาพผิวที่ดีค่ะ
บางคนอาจจะสงสัยว่า เอ๊ะทำไมต้องผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าสำหรับเด็กด้วย?
เหตุที่ต้องมีครีมบำรุงผิวหน้าสำหรับเด็กเพราะ เด็กบางคนมีผิวหน้าแห้ง หรือผิวหน้ามีอาการระคายเคือง แห้งลอก เกิดผดผื่น ทั้งจากสภาพผิวเด็กๆ เอง จากอากาศหรือแม้กระทั้งจากคราบน้ำนม คราบน้ำลาย คราบอาหารที่เลอะรอบปาก เลอะแก้ม
แม่แหม่มขอแนะนำ ครีมตองเดรอ (CREME TENDRE) ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า สำหรับผิวธรรมดาของ Toofruit ที่มีส่วนผสมของแอปเปิ้ลเขียวที่มีสาร เบต้าเคโรทีน และวิตามินซี ช่วยให้ผิวดูใสขึ้น ส่วนผสมของ แบคเบอรี่ช่วยลดริ้วรอยได้ด้วยค่ะ
ใช้แล้วขอบอกว่าดีมากค่ะ เนื้อครีมบางเบา ทาแป๊บเดียวครีมก็ซึมเข้าผิวเลย ไม่เหนียวเหนอะ ไม่มีความมัน แต่ให้ชุ่มชื่นกับผิวเป็นอย่างดีค่ะ กลิ่นของครีมบำรุงผิวหน้าเด็กเป็นกลิ่นอ่อนๆ แบบธรรมชาติ ไม่ฉุน คิดว่าคุณแม่กับเด็กๆ น่าจะชอบ เพราะเป็นครีมทาหน้ากลิ่นอ่อน ลูกจะไม่รู้สึกว่ากลิ่นแรงจนอึดอัดเวลาหายใจ สำหรับพ่อแม่ที่ยังลังเลเรื่องความข้นของครีมว่าจะเหนอะหนะ กลัวว่าเนื้อครีมจะหนักไปสำหรับผิวลูก กลิ่นฉุนเกินไปหรือเปล่า แนะนำว่าให้ลองเทสต์ด้วยตัวเองดูก่อน แล้วจึงตัดสินใจเลือกซื้อมาใช้กับลูก
แต่ถ้าผิวแห้งมากแนะนำตัวนี้ค่ะ ครีมกูมอง CREME GOURMANDE ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า สำหรับผิวแห้ง ที่มีส่วนผสมของกล้วย ช่วยลดการหยาบกร้านของผิว และผลมะเดื่อ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวพรรณ ลองใช้แล้วเนื้อครีมเข้มข้นกว่า บำรุงผิวนุ่มชุ่มชื่น และมีกลิ่นหอมอ่อนละมุนแบบธรรมชาติเหมือนกันกับครีมตองเดรอค่ะ
ผลิตภัณฑ์ Toofruit เหมาะสำหรับเด็กตั้งแต่อายุ 6 ปีขึ้นไป จนถึงอายุ 12 ปี ค่ะ หรือผู้ใหญ่อย่างเราจะใช้ไปด้วยกันกับลูกก็ได้นะคะแม่แหม่มก็ใช้ด้วยกันกับมามิค่ะ
นอกจากผลิตภัณฑ์บำรุงฝีปาก บีซูดุกส์ และ ครีมตองเดรอ แล้ว TooFruit ยังมีผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กอีกมากมาย ทั้งครีมบำรุงผิวหน้า ทำความสะอาดผิวหน้า โลชั่น เจลอาบน้ำ ระงับกลิ่นกาย และดูแลริมฝีปาก อีกด้วยค่ะ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.toofruitthailand.com หรือเพจ Toofruitthailand นะคะ
Toofruit Info : เป็นผลิตภัณฑ์นำเข้าจากฝรั่งเศส มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตราย และไม่มีสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ เพราะใช้สารสกัดจากผลไม้ตามธรรมชาติ ผ่านตรารับรองของสถาบัน Ecocert จากประเทศฝรั่งเศส เป็นมาตรฐานออร์แกนิคเข้มงวดในระดับโลก ดังนั้นโรงแรมและสปาชื่อดังทั่วโลกต่างไว้ใจใช้ Toofruit ดูแลผิวให้กับเด็กๆ
**ข้อควรจำ** ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางค์สำหรับเด็กที่ดีนั้นเมื่อเปิดใช้แล้วจะมีอายุการใช้งานแค่ 6 เดือนเท่านั้นค่ะ เกินกว่านั้นทิ้งไปได้เลยไม่ควรให้ใช้ต่อค่ะ
วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
เดินไปโรงเรียนวันละนิด จิตแจ่มใส
บ้านเราอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสถานีรถไฟใต้ดิน เวลาเดินทางไปไหนเราใช้การเดินจากบ้านไปขึ้นรถที่สถานี จากบ้านไปถึงสถานีจะใช้เวลาเดินประมาณ 5-10 นาที แล้วแต่ความเร็วในการเดิน พอถึงสถานีปลายทางก็พาเดินต่อไปอีกประมาณ 5 นาที ถึงจุดที่จอดรถรับส่งของโรงเรียน ซึ่งเราเรียกว่ารถมาลัย หลายคนสงสัย รถมาลัยหน้าตาเป็นแบบไหน เป็นรถไม้แบบที่ใช้วิ่งในสวนสัตว์ จะวิ่งรับ ส่งเด็กนักเรียนที่เดินทางมาด้วยรถไฟใต้ดิน และบนดินที่มาลงตรงปากซอย ไปส่งถึงในโรงเรียนค่ะ
ขากลับตอนเย็นก็เดินกลับค่ะ คราวนี้เดินไกลกว่ารับเสร็จจะพาเดินออกจากโรงเรียนไปขึ้นรถที่สถานี ใช้เวลาเดิน 10-15 นาที เพราะค่อนข้างไกลแต่จะเดินกันแบบช้าๆ ไม่รีบ เดินไปคุยกันไป เตรียมหมวก ร่มกันแดด ถ้าฤดูฝนก็เตรียมเสื้อกันฝนติดกระเป๋าไปด้วย พาน้องมามิเดินไปขึ้นรถใต้ดินเพื่อเดินทางไปโรงเรียนทุกเช้า และเย็นตั้งแต่อนุบาล 1 จนตอนนี้เรียนชั้น ป.1 แล้วก็ยังทำแบบนี้อยู่เป็นประจำและจะทำไปเรื่อยๆ
เหตุผลหลักในการเลือกโรงเรียนให้มามิ คือความสะดวกในการเดินทางรับส่ง และถึงแม้โรงเรียนจะค่อนข้างไกลบ้านและอยู่ในย่านรถติด แต่ถ้าเดินทางด้วยรถไฟฟ้าถือว่าสะดวกที่สุดค่ะ ตอนที่เค้ายังเล็ก ตอนเรียนอนุบาล 1 ก็เริ่มฝึกให้เค้าเดินในระยะสั้น สลับกับการอุ้มบ้าง พอโตขึ้นก็เพิ่มระยะทางขึ้นไปเรื่อยๆ จนตอนอนุบาล 2 ก็เริ่มเดินได้เองตลอดเส้นทางไปและกลับค่ะ
มามิไม่เคยถามว่าทำไมพ่อกับแม่ไม่ขับรถพาหนูไปโรงเรียน ถึงเค้าไม่เคยสงสัย แต่ก็เคยได้อธิบายถึงข้อดีของการที่ให้เค้าเดินไปโรงเรียนทุกวันว่า การได้เดินทุกเช้าทุกเย็น เป็นการออกกำลังกายที่ดี ทำให้สุขภาพแข็งแรง ไม่ป่วยง่าย หรือถ้าร่างกายเราแข็งแรง เมื่อเจ็บป่วยก็จะไม่เป็นหนัก และจะหายเร็ว ตั้งแต่เล็กจนถึงตอนนี้มามิไม่เคยป่วยจนถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาล เป็นไข้ เป็นหวัด ไม่กี่วันก็หาย เพราะได้เดินออกกำลังกายเป็นประจำ ในขณะที่เพื่อนร่วมชั้น หรือเด็กคนอื่นที่เรารู้จัก ป่วยทีต้องนอนโรงพยาบาลกันเป็นอาทิตย์กันเลย ซึ่งเค้าก็เข้าใจ และเกิดความภาคภูมิใจด้วย
เคยมีแม่ของเพื่อนร่วมชั้นของเพื่อนของมามิ เค้าสังเกตเห็นว่าเราทำแบบนี้แล้วดี ลูกสุขภาพดี แข็งแรง เค้าก็เริ่มทำตาม นั่งรถไฟฟ้ามาจากบ้านแล้วเดินจากปากซอยเข้าไปในโรงเรียนเลย ไม่นั่งรถมาลัยเพราะอยากให้ลูกได้เดินออกกำลังกายจะได้ไม่ป่วยง่าย แต่สำหรับเราเดินมาจากบ้านก็ไกลพอแล้ว ขอนั่งรถมาลัยจากปากซอยเข้าไปดีกว่าค่ะ
การเดินไปโรงเรียนมีข้อดีหลายอย่าง เช่น มิตรภาพตามข้างทางที่เราเดินผ่าน ลุงวินมอเตอร์ไซด์รับจ้างปากซอยบ้านเรา ที่เราไม่เคยใช้บริการเลย ก็ชื่นชม และทักทายกันทุกวันเวลาเดินผ่าน ป้าร้านขายผลไม้ก่อนถึงสถานีรถไฟฟ้า ที่ขากลับแม่มักจะแวะซื้อผลไม้เค้าเป็นประจำ วันไหนแม่ลืมของต้องรีบวิ่งกลับไปเอาที่บ้านจะพาลูกเดินกลับไปด้วยก็ช้า ก็สามารถฝากมามิไว้กับเค้าได้ คุณป้าก็จะชวนพูดชวนคุย หาเก้าอี้มาให้นั่งรอ เคยมีครั้งตอนมามิยังอยู่อนุบาล 1 ขากลับลงจากรถไฟฟ้า ฝนเกิดตกลงมา มือนึงอุ้มลูก มือนึงถือร่ม เดินผ่านรถเข็นขายข้าวโพดต้ม มามิบอกหนูอยากกิน บอกลูกว่า วันนี้คงซื้อไม่ได้ แม่ไม่รู้จะเอามือที่ไหนล้วงกระเป๋าหยิบเงินมาจ่าย คุณลุงคนขายได้ยินรีบยื่นให้ บอกเอาไปก่อน ไว้วันหลังค่อยเอาเงินมาให้ จากนั้นมาเดินผ่าน แวะซื้อบ้าง ไม่ซื้อบ้าง แต่ก็ทักทายกันทุกวัน
ยืนรอรถมาลัย
เช้าวันจันทร์ส่วนใหญ่จะไม่ขึ้นรถมาลัย เพราะรถในซอยจะติดมาก ทำให้รอรถนาน แล้วอาจจะทำให้เข้าเรียนสาย เราจึงเปลี่ยนเส้นทางเดินไปอีกฝั่ง ฝั่งนี้เองเราจะเจอกับคุณลุงขายหมูปิ้ง และทุกวันจันทร์อาม่าไม่อยู่บ้าน ทำให้มามิไม่ได้ทานข้าวเช้าไปจากที่บ้าน เลยได้แวะซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งของคุณลุงบ่อยๆ ทุกครั้งที่คุณลุงยื่นข้าวเหนียวหมูปิ้งให้ มามิจะยกมือไหว้ ทำให้คุณลุงจำหนูได้แม่นมาก พอมาช่วงหลัง แม่จะทำแซนวิชให้ทานก่อนออกจากบ้าน เวลาเดินผ่านร้านคุณลุง มามิก็จะยกมือไหว้ทักทายแล้วเดินผ่านไป แต่ไม่เคยได้ผ่านไปด้วยดี คุณลุงจะรีบวิ่งเอาข้าวเหนียว 1 ถุง หมูปิ้ง 2 ไม้มาให้ทานเสมอโดยไม่คิดเงิน จนต้องบอกให้มามิพูดเองว่า ขอบคุณค่ะแต่หนูทานมาแล้วค่ะ คุณลุงก็ยังใจดี ไม่เอาหมูปิ้งไม่เป็นไรคุณลุงก็มีน้ำมะพร้าวมาให้บ้าง น้ำส้มมาให้บ้าง ทุกครั้งที่แวะยกมือไหว้ทักทายก็จะยื่นมาให้ ห้ามปฏิเสธ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความประทับใจในมิตรภาพตามข้างทาง ตอนนี้เค้าห้ามขายของบริเวณนั้นไปแล้ว และตอนนี้คุณลุงไปขายตรงตึกเสริมมิตร มีที่ขายเป็นที่เป็นทางเป็นที่เรียบร้อย ลุงบอกว่าอาจจะขายไม่ดีเท่าตอนขายอยู่ตรงริมทางเท้า แต่ก็สบายใจ ปลอดภัยกว่า ไม่ต้องมาคอยวิ่งหนีเทศกิจ
บนรถมาลัย ถ้าวันไหนได้นั่งข้างหน้า ที่นั่งเดี่ยวข้างคนขับจะชอบมาก
มิตรภาพระหว่างเด็กๆ และพ่อแม่ระหว่างที่รอรถมาลัยมารับ เด็กๆ ได้ พูดคุย ทักทาย และเล่นด้วยกันระหว่างรอ รวมทั้งพ่อแม่ด้วย นั่งบนรถหันหน้าหากัน คุยกันไปตลอดทาง แม้ว่าลูกจะไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน หรือชั้นเดียวกันก็รู้จักกันหมดเพราะเห็นหน้ากันทุกวัน
ไม่ว่าจะเรียนพิเศษ หรือจะต้องไปไหนมาไหนถ้าพอเดินไปได้เราก็เลือกที่จะเดินค่ะ ระหว่างเดินไปด้วยกันก็คุยกันไป พบเห็นอะไรข้างทางก็ชี้ชวนกันดู เดินไปคุยกันไปเพลินๆ แป๊บเดียวก็ถึงจุดหมาย มามิไม่เคยบ่นว่า เหนื่อย เมื่อย ร้อน หรือเบื่อ เวลาแม่พาเดินไปไหนมาไหน แต่จะบ่น เบื่อ บ่นว่าเมื่อไหร่จะถึงทุกครั้งเวลาอยู่บนรถแล้วรถติดไม่ขยับไปไหนซะทุกครั้ง
การออกกำลังกายไม่หนักมาก ก่อนเข้าเรียนตอนเช้าก็เป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพของเด็ก และการเรียนรู้ในชั้นเรียน การเดินเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง แถมยังไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และยังดีสำหรับการเรียนรู้ของเด็กด้วย ทุกวันนี้การเดินไปโรงเรียนของเด็กๆ นั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ยากขึ้น เนื่องด้วยความสะดวกสบายที่พ่อแม่และเด็กต้องการ จึงขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียน บางคนก็เลือกเรียนโรงเรียนดังๆ ซึ่งแน่นอนไม่ได้อยู่ใกล้บ้าน ไม่สามารถเดินทางไปเองหรือใช้การเดินไปได้ จึงทำให้เด็กขาดประสบการณ์ในจุดนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
ทางเดินในโรงเรียนของหนู ต้นไม้เยอะ บรรยากาศร่มรื่นมาก
ตอนนี้ทุกเย็นถ้าไม่มีรถมาลัยให้บริการก็จะมีเจเจเพื่อนร่วมชั้น กับคุณแม่เดินกลับด้วยกัน เดินไปคุยไปเล่นเกมกันไปสนุกสนาน บางวันถึงขั้นไม่ยอมนั่งรถมาลัยกันเลย บอกหนูจะเดิน มันสนุกดี
สำหรับเด็กๆ ที่มีบ้านใกล้โรงเรียน หากมีโอกาสได้เดินไปโรงเรียนเอง หรือไปพร้อมพ่อแม่ หรือผู้ปกครอง ก็คงเป็นประสบการณ์ที่ดีประสบการณ์หนึ่ง แถมการเดินไปโรงเรียนนั้นยังส่งผลดีทั้งต่อสุขภาพของเด็ก และต่อจิตใจด้วยค่ะ
วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2559
โลกส่วนตัว ของมามิ โมโม่
อย่างที่รู้กันว่า เด็กๆ เมื่อถึงวัยหนึ่งจะเริ่มมีโลกส่วนตัว หรือมุมส่วนตัว ที่ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ในขนาดพื้นที่เล็กๆ แล้วจะค่อยๆแผ่กว้างขึ้น ใหญ่ขึ้น และชัดเจนมากขึ้น เมื่อพ้นวัยเด็ก ย่างเข้าสู่วัยรุ่น จนเลยไปถึงวัยเติบใหญ่
แม่แหม่มก็คิดว่า หลายๆ บ้านกำลังเผชิญกับความจริงข้อนี้อยู่ บางบ้านก็สามารถยอมรับได้อย่างรวดเร็ว แต่บางบ้านก็อาจจะต้องเบรคเด็กๆ เอาไว้ก่อน อาจจะด้วยปัญหาความคับแคบของพื้นที่ เลยทำให้ไม่สามารถปันพื้นที่ให้เด็กๆ สร้างโลกส่วนตัวขึ้นมา
บ้านนี้ก็เหมือนกัน ด้วยความที่อาศัยอยู่ในบ้านตึกแถว และอาศัยอยู่กันหลายเจนเนอเรชั่น ก็เลยต้องแบ่งพื้นที่กันชัดเจน มามิกับโมโม่ ต้องอยู่รวมในห้องนอนเดียวกัน และต้องใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งเก็บของ เสื้อผ้า และตั้งโต๊ะเขียนหนังสืออีก แรกๆก็ยังพอไหวอยู่ แต่อยู่ไปอยู่มาก็เหมือนห้องเล็กลง เพราะข้าวของมันมากขึ้น ตามอายุของเด็ก ในขณะที่เด็กก็เริ่มอยากได้พื้นที่ส่วนตัว ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปหลบมุมตรงไหน แม่แหม่มก็ได้แต่คิดว่า ต้องจัดสรรพื้นที่ใหม่ซะที จะได้ไม่มีปัญหา
เริ่มจากเก็บของเล่น ของใช้จิปาถะขึ้นชั้นเก็บของให้หมด เคลียร์พื้นที่มาตั้งโต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็กๆ ให้โมโม่ กับมามิ ส่วนเตียงนอน คิดไปคิดมา นึกไม่ออกเหมือนกัน ว่าจะแยกสัดส่วนยังไงให้อยู่ในห้องเดียวกัน ที่แคบๆ แถมมีข้าวของเต็มไปหมด
จริงๆ แล้วเคยได้พามามิไปเดินดูเตียงนอนมาหลายครั้ง ซึ่งทุกครั้งมามิก็ขอให้แม่ซื้อเตียงสองชั้นให้ ดูราคา ดูความคุ้มค่า ดูประโยชน์การใช้งานแล้วมันไม่คุ้ม แถมมีคนเตือนว่า อย่าซื้อเลยเตียงสองชั้น พอโตขึ้นมาไม่ยอมนอนก็ไม่รู้จะเอาไปเก็บไว้ที่ไหน แล้วก็เปลืองเงินไปซื้อใหม่อยู่ดี เมื่อช่วงปลายปีที่แล้วเดินผ่านร้านขายเฟอร์นิเจอร์ แล้วมามิเกิดไปสะดุดตาเข้ากับเตียงสองชั้นแล้วมาขอแม่ว่า วันเกิดปีนี้หนูขอเตียงสองชั้นเป็นของขวัญวันเกิดได้ไม๊ ก็ตอบมามิไปว่า มันแพงนะลูก อีกอย่าแม่กลัวไม่ปลอดภัย รอ 10 ขวบก่อนได้ไม๊ ที่บอกแบบนั้นไปเพราะคิดว่าเดี๋ยว 10 ขวบก็คงเปลี่ยนใจไม่ได้อยากแล้ว
แต่ใจก็คิดนะ ลูกนอนด้วยกันสองคนเตียงสองชั้นก็น่าจะดีนะ แล้วก็มาลงตัวที่เตียงสองชั้น ของ Knotty Berry รุ่น MORE THAN เตียงขนาด 201 x 103 x 118 cm. ชุดเตียงที่สามารถปรับระดับตามความใช้งาน และพื้นที่ได้ ทำให้เด็กๆ มีความเพลิดเพลินและไม่เบื่อพื้นที่ของตนเอง สามารถยกระดับเตียงขึ้นไป แต่ก็ไม่สูงมากนัก เพราะกลัวเหมือนกันว่ามามิจะปีนแล้วร่วงลงมา ขณะเดียวกันก็มีพื้นที่ด้านล่างสำหรับวางฟูกนอนให้โมโม่ได้นอนแล้วก็ไม่กวนมามิเวลานอนด้วย
ที่ว่ากวนกันคือถ้านอนเตียงระนาบเดียวกัน บางทีโมโม่ไม่ยอมหลับ ก็จะเริ่มไประรานมามิจนนอนไม่ได้ กลายเป็นไม่นอนกันทั้งคู่ แต่พอแยกระดับก็เลยไม่มีปัญหานี้อีกต่อไป ส่วนที่คิดว่าโมโม่จะเอาหัวโขกของบเตียง เวลามุดเข้ามุดออก ก็ปรากฏว่าไม่เป็นนะ คือมันสูงพอสมควร เวลามุดเข้าไปก็ไม่ต้องก้มมาก แต่ถ้าผู้ใหญ่ก็อาจจะต้อง ก้มระวังกันนิดนึง
ส่วนฟังก์ชั่นของเตียงก็ครบครัน มีชั้นวางของ สำหรับเก็บตุ๊กตา ของใช้ หรือกระทั่งหนังสือต่าง ตรงบริเวณหัวเตียง มีบันไดปีนขึ้นเตียง แล้วก็มีขอบเตียงที่ไม่เตี้ยเกินไป ป้องกันการตกได้ค่อนข้างแน่นอน และข้อสำคัญข้อนี่แหละค่ะที่ทำให้ตัดสินใจเลือกเตียงของ Knotty Berry รุ่นนี้ เพราะสามารถปรับเปลี่ยนเป็นเตียงธรรมดา แบบไม่ยกระดับก็ทำได้เพียงขันน้อต ถอดชั้นและขาเตียงออก พอโตขึ้นมาไม่อยากได้เตียงสองชั้น ไม่อยากปีนแล้วก็ปรับมาเป็นเตียงมาตรฐานได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องซื้อใหม่
สามารถปรับเปลี่ยนจากเตียงยกระดับเป็นเตียงธรรมดา
นอกจากเตียงแล้วแม่แหม่มก็เลยดูตู้เก็บของ ชั้นวางหนังสือ กับโต๊ะเขียนหนังสือที่มันเข้าชุดกัน ให้ทั้งสองคนด้วยกัน จะได้มีพื้นที่เก็บของ และโต๊ะเขียนหนังสือให้มามิที่เริ่มโตมากขึ้น จะได้ไม่ต้องก้มมากนักเวลานั่งเขียนกับโต๊ะตัวเดิมที่ใช้ตั้งแต่อนุบาล
ข้อดีของยี่ห้อนี้อีกอย่างคือ คุณภาพของวัสดุที่ไม่มีสารพิษตกค้าง เคยสังเกตุไหมบางครั้งเราซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่ จำพวกที่ทำด้วยไม้อัดปิดผิว บางครั้งจะมีกลิ่นเหมือนสารเคมี ซึ่งใช้เพื่อป้องกันแมลง หรือใช้ในการอบไม้ให้แห้ง ถ้าแพ้มากๆ มันจะมีผลต่อระบบทางเดินหายใจ คนที่ไม่แพ้ก็อาจจะแค่รู้สึกเหม็น แต่ของ Knotty Berry จะไม่เป็นอย่างนั้นเลย ตั้งแต่วันแรกที่ได้มา ไม่รู้สึกว่าฉุนจมูกแม้แต่นิดเดียว อย่าลืมนะคะ ทุกครั้งที่ซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่ ให้ระวังเรื่องพวกนี้ด้วย ไม่ว่าจะของเด็ก หรือของผู้ใหญ่ ก็ควรใส่ใจด้วยค่ะ
พอประกอบเตียงตู้โต๊ะเสร็จแล้ว คราวนี้เด็กทั้งสองก็เริ่มสร้างอาณาจักรของตัวเองกันทันที มามิหาตุ๊กตามาวางเรียงรายเอาไว้ ทั้งกันตัวเองตกเตียง แล้วก็ใช้เป็นเพื่อนคุยกระหนุงกระหนิงในจินตนาการ ส่วนโมโม่ก็เอาบ้าง แย่งตุ๊กตาของมามิ เอามาสะสมไว้บนที่นอนของตัวเอง แถมด้วยของเล่นของตัวเอง แล้วก็ชอบมุดเข้ามุดออกกัน เอาของเล่นอื่นๆ มาเล่นกัน บางครั้งก็เอามาแอบเอาไว้อย่างไร้เหตุผล บางทีรื้อที่นอนทำความสะอาดก็จะเจอของเล่นแอบเอามาซุกไว้เยอะแยะเต็มไปหมด
เมื่ออาณาจักรเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ที่เหลือก็ปล่อยให้เด็กคุ้นเคยกับที่นอนใหม่ของตัวเอง โดยเฉพาะมามิต้องคอยระวังว่าจะตกเตียงหรือเปล่า ปรากฏว่าไม่ค่อยดิ้นมากเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะเพื่อนๆของมามิมาคอยกันเอาไว้ ส่วนโมโม่ดิ้นเหมือนเคย แต่ไม่ต้องกลัวตกเพราะเป็นฟูกยางพาราไม่สูงนักแต่แน่นกำลังดี ปลอดภัยแน่นอน สังเกตุและเฝ้าระวังอยู่หลายคืน พอทุกอย่างลงตัวแม่แหม่มก็สบายใจละ สรุปว่าถูกใจเด็ก สบายใจพ่อแม่ วางใจให้เด็กๆ อยู่กับเพื่อนๆ ในจินตนาการกันได้
ส่วนโต๊ะเขียนหนังสือ ที่มากับเก้าอี้ไม้ยางเนื้อดี ที่มีฟังก์ชั่น ปรับเลื่อนความสูง ความลึก ได้ตามวัยของเด็ก และที่เจ๋งสุดๆ ก็ตรงล็อกล้อเมื่อนั่งกดทับลง ทำให้สบายใจได้ว่าเด็กๆ จะไม่เอามาเลื่อนกันไปมา ส่วนโต๊ะก็กว้าง ขนาดกำลังพอดี มีลิ้นชักเล็กๆ ให้เก็บของจุกจิกของมามิได้ เวลานั่งทำการบ้านก็ทำให้นั่งหลังตรงดีกับสุขภาพหลังของเด็กๆ
ทั้งหมดนี้อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องไม่จำเป็น แต่ในความรู้สึกของพ่อแม่ บอกได้เลยว่ามันคุ้มค่ามาก เมื่อเทียบกับผลที่ได้ เด็กๆ ได้พื่นที่ส่วนตัวเพิ่มขึ้น ได้พื้นที่ความสนุกเพิ่มขึ้น ได้เพื่อนในจินตนาการเพิ่มขึ้น ได้ความสบายใจของพ่อแม่ เท่านี้ก็คุ้มแล้ว
พอประกอบเตียงตู้โต๊ะเสร็จแล้ว คราวนี้เด็กทั้งสองก็เริ่มสร้างอาณาจักรของตัวเองกันทันที มามิหาตุ๊กตามาวางเรียงรายเอาไว้ ทั้งกันตัวเองตกเตียง แล้วก็ใช้เป็นเพื่อนคุยกระหนุงกระหนิงในจินตนาการ ส่วนโมโม่ก็เอาบ้าง แย่งตุ๊กตาของมามิ เอามาสะสมไว้บนที่นอนของตัวเอง แถมด้วยของเล่นของตัวเอง แล้วก็ชอบมุดเข้ามุดออกกัน เอาของเล่นอื่นๆ มาเล่นกัน บางครั้งก็เอามาแอบเอาไว้อย่างไร้เหตุผล บางทีรื้อที่นอนทำความสะอาดก็จะเจอของเล่นแอบเอามาซุกไว้เยอะแยะเต็มไปหมด
เมื่ออาณาจักรเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ที่เหลือก็ปล่อยให้เด็กคุ้นเคยกับที่นอนใหม่ของตัวเอง โดยเฉพาะมามิต้องคอยระวังว่าจะตกเตียงหรือเปล่า ปรากฏว่าไม่ค่อยดิ้นมากเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะเพื่อนๆของมามิมาคอยกันเอาไว้ ส่วนโมโม่ดิ้นเหมือนเคย แต่ไม่ต้องกลัวตกเพราะเป็นฟูกยางพาราไม่สูงนักแต่แน่นกำลังดี ปลอดภัยแน่นอน สังเกตุและเฝ้าระวังอยู่หลายคืน พอทุกอย่างลงตัวแม่แหม่มก็สบายใจละ สรุปว่าถูกใจเด็ก สบายใจพ่อแม่ วางใจให้เด็กๆ อยู่กับเพื่อนๆ ในจินตนาการกันได้
ส่วนโต๊ะเขียนหนังสือ ที่มากับเก้าอี้ไม้ยางเนื้อดี ที่มีฟังก์ชั่น ปรับเลื่อนความสูง ความลึก ได้ตามวัยของเด็ก และที่เจ๋งสุดๆ ก็ตรงล็อกล้อเมื่อนั่งกดทับลง ทำให้สบายใจได้ว่าเด็กๆ จะไม่เอามาเลื่อนกันไปมา ส่วนโต๊ะก็กว้าง ขนาดกำลังพอดี มีลิ้นชักเล็กๆ ให้เก็บของจุกจิกของมามิได้ เวลานั่งทำการบ้านก็ทำให้นั่งหลังตรงดีกับสุขภาพหลังของเด็กๆ
ทั้งหมดนี้อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องไม่จำเป็น แต่ในความรู้สึกของพ่อแม่ บอกได้เลยว่ามันคุ้มค่ามาก เมื่อเทียบกับผลที่ได้ เด็กๆ ได้พื่นที่ส่วนตัวเพิ่มขึ้น ได้พื้นที่ความสนุกเพิ่มขึ้น ได้เพื่อนในจินตนาการเพิ่มขึ้น ได้ความสบายใจของพ่อแม่ เท่านี้ก็คุ้มแล้ว
ครั้งที่แล้วมีโพสท์รูปมามิกับโมโม่นอนหลับบนเตียงแล้วมีคนสนใจสอบถามว่า หาซื้อได้ที่ไหน สอบถามรายละเอียดได้ที่ http://www.knottyberry.com/th หรือ Facebook : Knotty Berry ค่ะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)