วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Pantene เวลาพิเศษ ของครอบครัว

คลิกไปชมวีดีโอกันค่ะ 

เป็นคนนึงที่ชื่นชม และติดตามผลงานของคุณเจี๊ยบ วรรธนา มานานแล้ว อีกทั้งเมื่อได้ทราบว่าเธอต้องมีหน้าที่ที่เป็นทั้งพ่อและแม่ในการเลี้ยงดูลูกทั้งสองคน บทบาทหน้าที่แม่ในการเลี้ยงลูกสองคนโดยลำพังคงไม่ง่ายเลย ได้ดูจากคลิป Pantene เวลาพิเศษ ของครอบครัว เจี๊ยบ วรรธนา ที่คุณเจี๊ยบพูดว่าเวลาดูแลตัวเองแทบจะไม่มีเลย มองกลับมาที่ตัวเราเอง และเชื่อว่าแม่แทบทุกคนที่เลี้ยงลูกเองเข้าใจอารมณ์นี้เหมือนกัน คือลูกต้องมาก่อน ส่วนตัวเองมาทีหลัง

ตื่นเช้าขึ้นมารีบจัดการธุระตัวเองให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว คือได้แค่อาบน้ำอย่างเดียว เรื่องสระผมน่ะเหรอ ตอนยังไม่มีลูก ไม่ว่าจะไว้ผมยาวแค่ไหน ตื่นเช้าขึ้นมาสระผมทุกวัน สระเสร็จไดร์ผมให้แห้ง  แต่งตัวออกจากบ้านไปทำงาน ปล่อยผมปลิวสยาย แทบไม่เคยรวมผมเก็บผม แต่พอมีลูกคนแรกยังช่วยกันกับสามีดูแล จากสระผมทุกวันก็เป็นสระวันเว้นวัน ปล่อยบ้างรวบบ้าง แต่พอมีลูกคนที่สอง ต้องแบ่งกันเลี้ยงคนละคน ทุกวันแค่ได้อาบน้ำก็หรูแล้ว เรื่องสระผมไม่ต้องพูดถึง สระได้แค่อาทิตย์ละ 1- 2 ครั้ง เรื่องปล่อยผมสยายน่ะเหรอ ได้แค่วันเดียวแหละคือวันที่ตื่นมาสระผม





ตอนเช้าอาบน้ำสระผมเสร็จได้แค่เช็ดให้แห้งพอหมาดๆ แล้วรีบแต่งตัว ไม่มีเวลาเลือกชุดหรอก ชุดไหนที่อยู่ใกล้มือ หยิบชุดไหนได้ก็ใส่ชุดนั้นแหละ เสร็จแล้วก็ต้องมาปลุกลูกลุกขึ้นมาอาบน้ำ แต่งตัว เตรียมตัวไปโรงเรียนเรื่องไดร์ผมไม่ต้องพูดถึง ไม่มีเวลาค่ะ ปล่อยให้แห้งเอง พาลูกเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินจากบ้านไปส่งลูกถึงโรงเรียนก็แห้งพอดี พอแห้งเสร็จไม่เป็นทรงเพราะไม่ได้ไดร์ก็ต้องรวบไว้ตลอด ส่วนวันต่อๆ มาที่ต้องรวบไว้ไม่กล้าปล่อยสบายเพราะไม่ได้สระกลัวจะส่งกลิ่นเหม็นรบกวนคนรอบข้าง นี่แหละชีวิตแม่!!

อาจจะมีคำถามว่า อ้าว...แล้วทำไมไม่สระตอนเย็นล่ะ กลับถึงบ้านก็ 1 ทุ่ม นั่งกินข้าว ดูทีวี เล่นกับลูกซักพักก็ต้องรีบขึ้นห้องอาบน้ำ ขึ้นห้องมาได้ไม่ถึง 5 นาที ลูกก็ขึ้นตามมายืนตะโกนหน้าห้องน้ำ "แม่ขา หนูขึ้นมาแล้วนะ แม่ทำอะไรอยู่ แม่เสร็จหรือยัง" ก็ต้องรีบอาบอย่างรวดเร็ว พาลูกแปรงฟัน อ่านนิทานก่อนนอน ส่งเข้านอน ดึกก็ไม่ได้ไม่งั้นพรุ่งนี้ตื่นไปเรียนไม่ไหว วงจรชีวิตเป็นแบบนี้ทุกวันๆ จะเอาเวลาที่ไหนไปดูแลตัวเอง

ถ้าวันไหนเข็นตัวเองให้ตื่นเช้าหน่อย คือต้องเช้ามากๆ เลยนะ ได้ใช้เวลาอาบน้ำ สระผม ไดร์ผมให้แห้ง มีเวลาเลือกชุด แต่งตัว แต่งหน้าสวยๆ มามิตื่นขึ้นมาเห็นแม่ก็จะชมไม่ขาดปากเลย "วันนี้แม่สวยจัง ชุดแม่สวยจัง แม่แต่งหน้าสวยมากเลย ผมแม่สวยจัง หนูขอจับหน่อยได้ไม๊" ดีใจนะเวลาลูกชม ซึ่งนาน น๊านทีถึงจะลุกขึ้นมาทำแบบนี้ได้ ก็รู้นะว่ามีลูกสาว เค้าย่อมรักสวยรักงามเป็นธรรมดา ชอบดูแม่แต่งหน้า ทำผม ชอบเอาเครื่องสำอางแม่มาเล่น มายืนจ้องๆ มองๆ ตอนแม่แต่งหน้า ขอแค่ได้ช่วยหยิบโน่น จับนี่ยื่นให้แม่ก็พอใจ



พอมีเวลาอยู่กันตัวเอง ก็มานั่งคิดได้ว่าถ้าเราปล่อยปละละเลย ไม่ดูแลตัวเองแบบทุกวันนี้ แล้วเรามีลูกสาว กลัวเค้าจะเอาเป็นตัวอย่างเหมือนกันนะ เจ้ามามิหน้าตาก็สะสวยกลัวว่าจะกลายเป็นเด็กซ่กมกไปจะไม่ได้การ คงต้องปฏิวัติตัวเอง ให้เวลากับตัวเองบ้างแล้ว คงต้องเริ่มจากการเข้านอนให้เร็วขึ้นจะได้นอนพักผ่อนให้พอ จะได้ตื่นแต่เช้า มีเวลาดูแลตัวเองมากขึ้น แล้วช่วงต้นเดือนหน้าน้องมามิมีงานเดินแบบที่ห้างใหญ่ใจกลางเมือง แม่อยากจะแต่งตัวสวย ทำผมสวย ไปยืนหน้าเวทีเพื่อชื่นชมนางแบบตัวน้อยของแม่ กับเวลาอีกแค่ประมาณ 14 วัน แม่จะสวยให้ดูนะเจ้าตัวเล็ก

คิดได้ดังนั้นก็มาเริ่มต้นปฏิบัติการกันเลยดีกว่า เอาแบบง่ายๆ ไม่ต้องเข้าร้าน ให้ผลิตภัณฑ์ Pantene นี่แหละช่วยดูแลเส้นผมของเรา ปกติเป็นคนที่สุขภาพผมค่อนข้างดีอยู่แล้ว ผมยาว หนา และดำขลับ แต่ขาดแค่เรื่องการบำรุง และดูแลให้สะอาดและจัดรูปทรงให้สวยงาม ช่วงนี้เลยรู้สึกว่าผมแห้งและจัดทรงยาก หรือถ้าใครมีผมเสียมากๆ ไม่ว่าจะเป็นผมพันกัน ผมแห้งแตกปลาย ชี้ฟู ไม่เงางาม หรือจัดทรงยากแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลผมเสียโดยเฉพาะไปเลยค่ะ

ขั้นตอนแรกคือการชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากผมและหนังศีรษะคือการสระผมด้วยแชมพูนั่นเองค่ะ ควรหวีผมก่อนสระจะช่วยให้ผมไม่พันกัน เพื่อง่ายต่อการขจัดสิ่งสกปรกสะสม เวลาสระให้สระด้วยน้ำสะอาด แชมพูจะมีประสิทธิภาพเต็มที่เมื่อเกิดฟองที่สมบูรณ์ ชโลมแชมพูให้ทั่วผม นวดหนังศีรษะด้วยปลายนิ้วมือ และล้างออกให้สะอาด ขั้นตอนที่สองที่ขาดไม่ได้ คือการปรับสภาพเส้นผมด้วยครีมบำรุงผม การใช้ครีมนวดผม ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม และล้างอย่างพอเหมาะ และควรใช้ครีมนวดผมอย่างน้อย 2 ครั้งถ้ามีแนวโน้มว่าปลายผมเริ่มเสียโดยเน้นช่วงปลายผมเป็นพิเศษ และขั้นตอนที่สาม การฟื้นบำรุงเส้นผมด้วย intensive hair mask 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์เป็นประจำค่ะ

เท่านั้นยังไม่พอนะคะ ทุกเช้าต้องบำรุงด้วยลีฟออนฟื้นบำรุงเส้นผม ชโลมให้ทั่วเน้นเฉพาะช่วงกลางถึงปลายผม ให้ดูเงางามอย่างเป็นธรรมชาติ ในตอนกลางคืนก่อนนอนก็ชโลมด้วยไนท์ มิราเคิล เอสเซ้นซ์ เพื่อการฟื้นบำรุงผมอย่างต่อเนื่อง


ตอนนี้ก็เริ่มตื่นเช้ามาดูแลตัวเองทุกวันแล้วค่ะ วันสำคัญของมามิ แม่จะได้พร้อม และแต่งตัวสวย ปล่อยผมสวยไปเป็นกำลังใจให้หนูเดินบน Catwalk นะคะ

ตอนนี้ Pantene มีกิจกรรมที่ชื่อว่า “Moment to shine Moment to share” เป็นกิจกรรมให้สาวๆมาร่วมแชร์และบอกเล่าเรื่องราวความประทับใจในช่วงเวลาพิเศษในแบบของตัวเอง...ใครที่สนใจ ลองกดเข้าไปชมเรื่องราวความประทับใจได้ที่นี้นะคะ https://apps.facebook.com/pantenemoment

วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับนม U.H.T. สำหรับเด็ก


แม่แหม่มได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรม “เปิดบ้านเอนฟา ตอน รู้ลึกเรื่องนมยูเอชที” และได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนๆ คุณพ่อ คุณแม่ blogger ผู้รู้ และคุณหมอ หนึ่งวันเต็มๆ ที่ได้ไปร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ได้รับความรู้และสาระดีๆ มามากมายเลยอยากจะนำมาฝาก คุณแม่ คุณแม่ทั้งหลายที่มีลูกในวัยที่ดื่มนมกันนะคะ

โดยช่วงเช้าได้ฟังสัมภาษณ์พิเศษ “รู้ลึกคุณค่าสารอาหาร ส่วนผสมของนม UHT” พร้อมชมวิธีการสาธิตส่วนประกอบในนม UHT โดยฝ่ายวิจัยและพัฒนา จาก บริษัท มี๊ด จอห์นสัน นิวทริชั่น (ประเทศไทย) จำกัด

เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคน เวลาเลือกนมให้ลูก ต้องอ่านที่ข้างกล่องกันทุกคนว่า มีส่วนประกอบ และมีสารอาหารอะไรบ้าง ที่สำคัญคือต้องวันหมดอายุด้วย เรามาดูกันให้ชัดๆ อีกทีว่าในนม U.H.T. 1 กล่องที่ลูกเราดื่มเข้าไปนั้นมีส่วนประกอบอะไรบ้าง ตัวอย่างเป็นนม ยูเอชที เอนฟาโกร ซึ่งจะมีส่วนประกอบหลักๆ 3 อย่าง อย่างแรกคือ Whole milk powder นมผเต็มไขมัน เป็นนมผงที่มี โปรตีน 26-28% ไขมัน 26-28% และ คาร์โบไฮเดรต ประมาณ 9-10% อย่างที่สองคือ Encapsulated ARA/DHA กรดไขมันตระกูลโอเมก้า 3 และ โอเมก้า 6 ที่เป็นโครงสร้างสำคัญของเซลล์สมอง และอย่างสุดท้ายคือ Vitamin & Mineral วิตามิน C,K,E, B1, B3, B5, B6, B12 และโฟเลต แร่ธาตุ แมกนีเซี่ยม โพแทสซี่ยม เหล็ก ซิงค์ แมงกานีส คอปเปอร์


 หลายคนคงสงสัยว่านม U.H.T. ที่ลูกเราดื่มกันทุกวัน ที่บอกว่ามี ARA/DHA นั้น มันมีประโยชน์จริงหรือไม่ อย่างไร หรือเป็นแค่กลยุทธ์ทางการตลาด จากคำบอกเล่าของนายแพทย์พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการ และพฤติกรรม คณะแพทย์ศาสตร์ วชิรพยาบาล กล่าวว่า DHA นั้น ปกติจะมีในนมแม่ เป็นสารที่ช่วยให้สารอาหารดูดซึมเข้าไปในผนังเซลล์ของเราได้ดี ดังนั้น DHA มีในนมแม่ ซึ่งดีและมีประโยชน์มากๆ เพราะฉะนั้นเด็กควรได้รับนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน ในขณะเดียวกันแม่ที่ไม่สามารถเลี้ยง ลูกด้วยนมแม่เอง ควรเลือกนมผสมที่มีส่วนประกอบของสาร DHA เพื่อเพิ่มสารตัวนี้ให้พอเพียงต่อความเจริญเติบโตของสมอง ซึ่งสารประกอบของ DHA ในนมผสม เพราะในนมวัวนั้น ไม่มี DHA จึงต้องเติมเข้าไป

แต่ทีนี้หลายคนสงสัยว่า DHA ช่วยดูดซึมได้มากขึ้นจริงหรือ คำตอบคือถ้ามี DHA แล้วร่างกายจะดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่มากนัก ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย แน่นอนว่าไม่มีอะไรที่ทดแทนนมแม่ได้ ดังนั้นควรจะให้เด็กทานนมแม่จะดีที่สุด แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องดื่มนมวัว หรือจะดื่มนมเสริม การที่มี DHA ก็จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น ถึงแม้จะไม่ดีเท่านมแม่แต่ก็ดีกว่าไม่มีซะเลยค่ะ

กระบวนการผลิตนมยูเอชทีนั้นจะผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อโรคที่อุณหภูมิ 135-150 องศาเซลเซียส ในระยะเวลา 2-4 วินาที ทำให้สามารถเก็บรักษาได้นานถึง 9 เดือนที่อุณหภูมิห้องโดยไม่ต้องแช่เย็น และไม่ทำให้คุณค่าของสารอาหารและรสชาดเปลี่ยนไปค่ะ ซึ่งในนมยูเอชทีเอนฟาโกร 1 กล่อง ประกอบด้วยสารอาหารถึง 35 ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดมีประโยชน์อย่างไรบ้างนั้นคงผ่านตามของคุณพ่อ คุณแม่ทุกท่านกันมาแล้วนะคะ เด็กๆ ควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 3 กล่อง เพื่อให้ลูกๆ ได้รับสารอาหารโดยเฉพาะ DHA และ ARA ไปเสริมสร้างสมองได้อย่างครบถ้วนค่ะ


 หลังจากได้รับความรู้เรื่องคุณค่าอาหารและส่วนผสมของนมยูเอชทีเสร็จ ก็ถ่ายรูปร่วมกันแล้วออกเดินทางไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตนมยูเอชทีเอนฟาโกร ที่จังหวัดสมุทรปราการ พอไปถึงก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ก่อนเข้าชมโรงงาน ทางทีมงาน ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับไลน์การผลิต และข้อแนะนำ ข้อควรระวังต่างๆ ก่อนเข้าชมโรงงาน เนื่องจากโรงงานเป็นระบบปิดเพื่อให้ปลอดเชื้อ เหล่าสมาชิกคุณพ่อ แม่ทุกคนจึงต้องทำการเปลี่ยนชุดเพื่อความสะอาด และความปลอดภัยก่อนเข้าชมกระบวนการผลิต โดยเราจถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม/กลุ่มละ 7 คน เพื่อความใกล้ชิดในการเรียนรู้ค่ะ เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าไปดูการผลิตของจริงแบบเห็นกับตาทุกขั้นตอนเลยค่ะ ทำให้รู้ว่ากว่าจะได้นมยูเอชทีขึ้นมา 1 กล่องต้องผ่านกระบวนการ และขั้นตอนอะไรบ้าง ถึง 6 ขั้นตอนด้วยกันค่ะ


โดยขั้นแรกจะเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบคุณภาพของวัตถุดิบ ขั้นที่สองจะเป็นกระบวนการนำเข้าสู่การกำจัดสิ่งปนเปื้อนโดยผ่านเครื่องปรับ ปริมาณไขมันและเครื่องโฮโมจิไนเซอร์เพื่อทำให้โปรตีนนมและไขมันนมแตกตัวเป็นโมเลกุลเล็กกระจายเป็นเนื้อเดียวกันในนม ต่อด้วยขั้นที่สามการผ่านเข้าสู่การฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิ 133-150 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 2-4 วินาที และจัดพักไว้ในถังปลอดเชื้อ ขั้นตอนที่สี่ เติมเกลือแร่ วิตามิน และทำการวิเคราะห์สารอาหารเพื่อให้ได้คุณค่าสารอาหารตรงตามมาตรฐาน หลังจากนั้นขั้นตอนที่ห้าคือการบรรจุนมใส่กล่องด้วยเครื่องบรรจุปลอดเชื้อ ขั้นตอนนี้พวกเราเข้าไปดูใกล้ๆ ไม่ได้ ทำได้แค่ชะโงกดูผ่านห้องกระจก แต่ก็เห็นชัดเจนเลยค่ะ และขั้นตอนสุดท้ายคือการตรวจสอบมาตรฐานก่อนน้ำออกไปวางจำหน่ายค่ะ


จากการได้ไปเยี่ยมชม และได้ดูทุกขั้นตอนการผลิตอย่างใกล้ชิด ทำให้มั่นใจได้เลยว่าทุกขั้นตอนการผลิตสะอาด ปลอดภัย ได้มาตรฐาน และมั่นใจได้จริงๆ ค่ะ หลังจากเยี่ยมชมโรงงานเสร็จก็รับประทานอาหารร่วมกัน ระหว่างรับประทานอาการ และนั่งรถทั้งไป และทั้งกลับด้วยกันได้พูดคุย และเปลี่ยนความคิดเห็นกันหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องพัฒนาการ การเลี้ยงดู การเรียน โรงเรียน และการจัดกิจกรรมต่างๆ ให้กับลูก กับคุณพ่อ คุณแม่ blogger และทีมงาน  ทริปนี้สนุกสนานเฮฮา และเป็นกันเองมากเลยค่ะ
สุดท้ายเป็นการพูดคุยกับคุณหมอ ซึ่งนายแพทย์พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการ และพฤติกรรม มาตอบคำถามและข้อสงสัยต่างๆ ของบรรดาคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายซึ่งตัวแม่แหม่มเองก็ได้ถามถึงเรื่องการเลิกดูดขวดนมของโมม่ คุณหมอแนะนำ 2 วิธีคือ วิธีแรกการหักดิบ คือเอาขวดไปซ่อน เอาไปเก็บไว้ให้ใดชิด แล้วบอกลูกว่าแม่เอาขวดนมไปทิ้งหมดแล้ว ไม่มีขวดนมแล้วนะหนูต้องกินนมจากหลอดหรือแก้วแทน ลูกอาจจะโยเยและไม่ยอมกินสักอาทิตย์ถึงสองอาทิตย์ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ต้องอดทน ห้ามใจอ่อน ส่วนวิธีที่สองคือ ค่อยๆ ลดปริมาณส่วนผสมของนมให้น้อยลง คือชงให้เจือจางมากขึ้นเรื่อยๆ พอมันไม่หวานมันอร่อย เค้าก็จะเลิกกินไปเอง แล้วให้ทานนมจากหลอดหรือดื่มจากแก้วแทน แต่คุณหมอบอกว่าแนะนำวิธีแรก ได้ผลเร็วกว่า


คุณหมอแนะนำว่า ถ้าเด็กอายุ 1 ปีขึ้นไปแล้วนั้น ให้เน้นอาหาร 3 มื้อ 5 หมู่เป็นหลัก เด็กต้องทานให้ครบ แล้วให้ดื่มนมเป็นอาหารเสริมแทน ดื่มนมที่มีส่วนผสมของ DHA ด้วยก็จะดีมาก จะเป็นนมผงแบบยูเอชที หรือแบบผงชงก็ได้ แบบชงจะดีตรงที่เราเลือกให้สารอาหารเข้มข้นอยากชงยังไงก็ได้ตามที่เราต้องการ แต่ถ้าเป็นแบบยูเอชที ก็จะสะดวกเวลาต้องออกไปธุระข้างนอก ไม่ต้องเตรียมอะไรไปมากมาย ได้สารอาหารที่มีประโยชน์เหมือนกัน

การได้เข้าร่วมกิจกรรมเปิดบ้านเอนฟาในครั้งนี้ได้รับความรู้และประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมเลยค่ะ ขอขอบคุณ บริษัท มี๊ด จอห์นสัน นิวทริชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ที่เชิญแม่แหม่มเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ และให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นและเป็นกันเองมากมายเลยค่ะ

วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

บีแพนเธน ปกป้อง บำรุง และดูแลผิวสวยของหนู



เข้าช่วงหน้าฝนแล้ว เชื่อว่าพ่อแม่หลายบ้านคงต้องกำลังปวดหัวกับปัญหาโรคภัยรุมเร้าเจ้าตัวเล็กที่บ้านอยู่เป็นแน่ โรคที่เป็นขาประจำช่วงหน้าฝนก็จำพวก ไข้หวัด ทั้งเล็กและใหญ่ และโรคมือเท้าปาก เวลามามิ หรือโมโม่ เป็นทีไรก็ต้องกินยาละลายเสมหะ ยาลดไข้ ยาฆ่าเชื้อ โดยเฉพาะอย่างหลังนี่ ถ้าได้กินเข้าไป ทั้งโมโม่ และมามิ จะมีอาการถ่ายเหลว และบ่อยขึ้น ตัวมามิคงไม่เท่าไหร่ เพราะปวดก็เข้าห้องน้ำถ่ายได้ปกติสุข แต่สำหรับโมโม่ เด็กน้อยนุ่งผ้าอ้อมสำเร็จรูป เป็นต้องมีอาการผื่นแดง คันคะเยอ เพราะความที่ถ่ายหนักใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูป จนอับชื้น และหมักหมม จนคัน ถ้าเป็นมากก็ถึงกับร้องงอแงกันทีเดียว

เมื่อก่อนเคยเชื่อว่า ถ้าล้างให้สะอาด ก็น่าจะไม่มีปัญหา แต่ความจริง ถูกแค่ครึ่งเดียว เพราะถ้าเราล้างให้สะอาดมากเท่าไหร่ นั่นก็คือการที่เราต้องขัดถูเนื้ออ่อนๆ ของทารกให้เกิดอาการอักเสบ และเป็นสาเหตุให้ยิ่งระคายเคืองมากขึ้น

ที่ถูกแล้วคือทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่าให้พอเหมาะคือล้าง แต่อย่าถูอย่างรุนแรง หลังจากนั้นต้องเช็ดแบบซับนะคะ ไม่ถู เช็ดให้แห้งจริงๆ และใช้ตัวช่วยอีกตัวหนึ่งคือ บีแพนเธน  ซึ่งเป็น ออยเมนท์ ปกป้องผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดการระคายเคืองได้ดีจริงๆ



เชื่อว่าหลายๆ บ้านคงรู้จัก บีแพนเธน กันดีอยู่แล้ว เลยบอกคร่าวละกันค่ะว่า ตัวนี้มันจะดีกว่า แป้งฝุ่น หรือโลชั่น ลดการระคายเคือง เพราะเคลือบผิวดีกว่า และยังระบายอากาศได้ดีกว่าด้วย เลยไม่ซ้ำเติมปัญหาเรื่องความอับชื้นค่ะ อีกอย่างที่ดีกว่าตัวอื่นๆ คือมีโปรวิตามินบี 5 ซึ่งช่วยในการสร้างเซลผิวได้ดี ที่สำคัญสามารถใช้ได้เรื่อย ๆ ทาเผื่อไว้เลยค่ะ ไม่มีปัญหาเพราะไม่มีสารเคมีรุนแรง ยาฆ่าเชื้อ สี น้ำหอม แบบไม่ต้องกังวลว่าทาแล้วจะแพ้เลยค่ะ

แต่บางบ้านอาจเคยลองใช้ครีมทาผื่นผ้าอ้อมที่มียาฆ่าเชื้อ แม่แหม่มว่าให้เลี่ยงจะดีกว่า เพราะผิวที่ระคายเคืองไม่ได้อักเสบเพราะเชื้อโรค แต่เป็นเพราะผิวหนังอ่อนไหวต่อสิ่งสกปรก แค่ทำความสะอาดให้ดี แล้วทาออยเมนท์บำรุงผิวก็เพียงพอแล้ว

สำหรับมามิเอง บางครั้งก็ยังใช้ บีแพนเธน เหมือนกันนะคะ เป็นเพราะบางครั้งที่เข้าห้องน้ำในที่สาธารณะ แล้วไม่ทำความสะอาดที่รองนั่งให้ดี มามิก็จะมีอาการคัน ก็ต้องกลับมาบ้านมาล้างทำความสะอาดให้ดี แล้วใช้ บีแพนเธน ทาเพื่อป้องกันอีกชั้นหนึ่ง  แม่แหม่มเลยคิดว่า ถ้าจะต้องออกไปนอกบ้าน แล้วละก็ ทาไว้ก่อนเพื่อป้องกัน ก็เป็นความคิดที่ดีเหมือนกันนะคะ



ก็หวังว่าปัญหาคันๆ ของเด็กๆ คงจะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไปนะคะ ส่วนภาพประกอบ อาจจะต้องมีเซนเซอร์บ้างนะคะ โมโม่เป็นหนุ่มแล้ว หนูก็อายเป็นนะ ก้นแดงๆ เดี๋ยวจะอายชาวบ้านเขา

วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Dettol Dream Chasers ประชันพรสวรรค์ ไล่ตามความฝันกับมามิ 2

จากที่ได้ส่งคลิปร้องเพลงของน้องมามิเข้าประกวด Dettol Dream Chasers มีพ่อ แม่ พี่ น้อง และเพื่อนๆ มากมายมาช่วยกันโหวตกันทุกวัน คะแนนโหวตอาจจะไม่มากเท่าคนอื่น แต่สำหรับแม่แหม่ม ทุกกำลังใจ ทุกคอมเม้นท์ และทุกคะแนนโหวตในครั้งนี้คือกำลังใจ และแรงผลักดันให้เราเดินหน้าที่จะส่งเสริม ความชอบ ความสามารถ และความถนัดในด้านนี้ของมามิค่ะ

และแล้วผลการตัดสิน 14 คลิปที่เข้ารอบสุดท้ายก็ออกมาแล้ว น้องมามิไม่ได้เข้ารอบในครั้งนี้ ดูจากคลิปของน้องทั้ง 14 คลิปที่เข้ารอบแล้ว เก่งกันทุกคนเลยค่ะ แต่ละคนล้วนมีความสามารถเฉพาะตัวกันคนละแบบ ซึ่งกรรมการคงเห็นว่าเหมาะสมแล้วที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้ารอบในไปลุ้นรางวัลชนะเลิศกันค่ะ
สำหรับแม่แหม่มแล้ว การที่พลาดโอกาสครั้งนี้ไม่ได้เสียใจ หรือหมดกำลังใจในการให้การส่งเสริมความชอบ และความสามารถด้านนี้ให้กับน้องมามิเลย ด้วยความที่อายุ และประสบการณ์ยังน้อย ยังต้องอาศัยการฝึกฝนต่อไปอีกเรื่อยๆ  การได้มีเวที หรือพื้นที่ให้ได้แสดงความสามารถให้คนอื่นๆ ได้เห็น ได้ชื่นชม ก็เป็นประสบการณ์ที่ดี สำหรับรางวัล การแข่งขัน และเวทียังมีอีกมากมายให้เราได้ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์กันค่ะ

สำหรับตัวแม่แหม่มเองคิดแค่ว่า การได้ขึ้นเวทีแสดงความสามารถ ทำให้น้องมามิกล้าแสดงออก และได้ประสบการณ์ ส่วนชัยชนะ หรือรางวัลนั่นคือความภูมิใจ และกำลังใจที่เราจะเดินหน้าฝึกฝน สร้างฝันกันต่อไป สิ่งที่ได้รับจริงๆ คือความรู้ความสามารถในด้านที่เราถนัด และสิ่งนี้ก็จะติดตัวน้องมามิไปจนโตค่ะ



จากที่ได้ชมทั้ง 14 คลิปที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย  ส่วนตัวแล้วชอบคลิป พี่น้องร้องเพลง Love Story  : http://www.dettol.co.th/dream-chasers/detail-final.php?id=233 ดูคลิปนี้แล้วประทับใจ น้องทั้งสองคนเก่งมาก ทั้งร้องเพลง ทั้งเล่นกีตาร์ น่ารักมาก เรียกว่ามีความสามารถจริงๆ ดูคลิปแล้ว อยากให้โมโม่โตไวๆ ถ้าชอบร้องชอบเล่นดนตรี จะได้ให้มาร้อง มาเล่นด้วยกันแบบนี้บ้าง คงน่ารักไม่ใช่น้อย

ชวนทุกคนที่ติดตามอ่าน Blog และติดตามเชียร์มามิ ไปโหวตให้กำลังใจน้องๆ ทุกคนที่เข้ารอบด้วยนะคะ สามารถโหวต ได้ถึงวันที่ 4 สิงหาคม สำหรับคุณพ่อคุณแม่ท่านไหนสนใจไปชม ไปให้กำลังใจน้องทั้ง 14 คน แสดงความสามารถบนเวที ในรอบชิงชนะเลิศ สามารถไปกันได้ในวันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม 2556 เวลา 15.30 - 18.00 น. งานจัดที่ลานกิจกรรมชั้น 2 ใกล้ร้านฟูจิ ศูนย์การค้าเมกะ บางนา กม.8 ค่ะ

ชวนไปชมคลิป และไปโหวตให้เด็กๆ กันนะคะ 1 โหวต เท่ากัน 1 กำลังใจให้เด็กได้ที่มีความสามารถโดดเด่น ได้ก้าวไปสู่ฝันของเค้าเหล่านั้นได้ค่ะ ตามไปกันเลยค่ะ : http://www.dettol.co.th/dream-chasers/index.php

วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Dettol Dream Chasers ประชันพรสวรรค์ ไล่ตามความฝันกับมามิ




ตอนที่มามิเป็นเบบี๋ จนถึงวัย3 ขวบ มีกิจกรรมและเวทีมากมายให้เข้าร่วมประกวด ซึ่งกิจกรรมหรือเวทีเหล่านั้นก็จะเน้นเด็กหน้าตาน่ารัก สุขภาพดี ด้วยความมั่นใจว่าลูกเราหน้าตาน่ารักประมาณนึง สุขภาพดีใช้ได้ ก็ส่งเข้าประกวดในหลายเวที ถึงไม่ได้รางวัลชนะเลิศ แต่ก็ได้รางวัลรองชนะเลิศมาหลายเวที บางเวทีก็มีแสดงความสามารถตามวัย อาศัยความลาด สดใส ร่าเริง นิดหน่อย ไม่ค่อยได้เน้นความสามารถอะไรเป็นจริงเป็นจังมากมายก็ได้รางวัลมากับเค้าเหมือนกัน นั่นคือความภูมิใจว่าลูกเราน่ารัก ลูกเราสุขภาพจิต สุขภาพกาย และผิวพรรณดี เพราะได้รับการเอาใจใส่ดูแลอย่างดีจากเรานี่แหละ
 
แต่พอเค้าเริ่มพูดได้ ร้องเพลงได้ เคลื่อนไหวร่างกายได้เก่ง เราก็จะพอมองออกว่าเค้ามีความชอบ ความถนัดด้านไหน ด้วยความที่มามิเป็นเด็กที่พูดเร็ว เค้าเป็นเด็กที่ช่างสังเกตและจดจำ ถ้าเค้าสนใจสิ่งไหน เค้าก็จะพยายามจำ และทำมันให้ได้ และสิ่งที่แม่ค้นพบคือ มามิชอบร้องเพลง ตอนเล็กๆ อายุประมาณ ขวบกว่า – สองขวบ แม่ร้องเพลงง่ายๆ ให้ฟัง เช่นเพลงช้าง เพลงลอยกระทง เพลงจ้ำจี้ผลไม้  ให้ฟังแค่ 4-5 รอบ เค้าก็สามารถจดจำได้อย่างรวดเร็ว ร้องตาม และร้องเองได้ในที่สุด


 ช่วงก่อนเข้าอนุบาลอายุประมาณ 2-3 ขวบ เค้าฟังเพลงละครตอนเย็น หรือละครก่อนข่าว ฟังบ่อยเข้าๆ เค้าสามารถร้องตาม จนร้องเองได้โดยจำเนื้อร้องได้หมด โดยไม่ต้องอาศัยดนตรีช่วย ที่สำคัญร้องตรงคีย์ด้วยสิ พอเห็นว่าลูกมีความสามารถโดดเด่นมาทางนี้ก็เริ่มส่งเสริมเค้า เปิดเพลงให้ฟัง ให้เค้าฟังเพลงที่หลากหลายขึ้น ทั้งเพลงไทย เพลงสากล เมื่อมีโอกาสก็ให้เค้าไปทดลองเรียนร้องเพลงอยู่ช่วงนึง และที่โรงเรียนสอนร้องเพลงได้จัดกิจกรรมเล็กๆ ในโรงเรียนให้เด็กทุกคนได้มีโอกาสได้ร้องเพลงบนเวที เพื่อให้พ่อ แม่ ได้ชื่นชมว่าลูกมาเรียนแล้วมีพัฒนาการมากขึ้นไปแค่ไหน และเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้กล้าแสดงออกอีกด้วย
มามิได้ขึ้นเวทีร้องเพลงครั้งแรกที่นี่ ร้องเพลง The Show ยืนร้องตัวแข็ง แต่ก็ร้องจนจบเพลง ได้รับเสียงปรบมือดังสนั่น แล้วอีกครั้งได้มีโอกาสไปงานสังสรรค์ของทางโรงเรียนที่ร้านอาหารแห่งนึง และได้ขึ้นไปร้องคาราโอเกะบนเวที โชว์เพลง คิดถึงนะ คราวนี้มีโยกตัว ส่ายหัว เล่นกับผู้ชมข้างล่างนิดหน่อย ครั้งที่ 2 บนเวทีที่มีผู้ชมมากมาย ถือว่าหนูทำได้ดีเลยค่ะ

ต่อมาได้มีโอกาสพามามิไปออดิชั่นกับรายการทีวีรายการนึง ด้วยวัย 4 ขวบ 4 เดือน มามิผ่านเข้ารอบ 150 คน จากผู้เข้าร่วมออดิชั่นทั้งหมดนับพันคน และได้ขึ้นเวทีโชว์เพื่อคัดเลือกให้เหลือ 50 คนสุดท้าย แต่ไม่สามารถชนะใจกรรมการและผู้ชมในห้องส่งก็เลยตกรอบไป สำหรับแม่แล้วสำหรับการแข่งขันเวทีแรกของหนู การโชว์ในครั้งนี้หนูทำดีที่สุดแล้ว และหนูก็บอกแม่ว่า หนูตั้งใจ หนูทำเต็มที่ ทำดีที่สุดแล้ว หนูไม่เสียใจค่ะแม่

หลังจากจบออดิชั่นครั้งนั้นไปแล้วก็ไม่ได้ส่งมามิประกวดอะไรอีกเลย และระยะหลังมานี้มามิมีกิจกรรมอื่นๆ ทำเยอะแยะไปหมด ทำให้ห่างหายจากการร้องเพลงไป แล้วก็ไม่ค่อยมีความกระตือรือร้นที่จะไปเรียนร้องเพลง ก็เลยต้องพักเรื่องร้องเพลงไปก่อน 

พอดีแม่ไปเจอกิจกรรม  Dettol Dream Chasers ประชันพรสวรรค์ ไล่ตามฝันกับ Dettol ในเพจ Dettol Thailand Dettol ชวนคุณแม่ส่งคลิป VDO ร้อง เล่น เต้น แอ็ค ของเจ้าตัวน้อย เพื่อโชว์ความสามารถบนเวที Dettol Dream Chasers แล้วลุ้นเป็น 3 ผุ้ชนะ รับทุนการศึกษา และของรางวัลมากมาย รวมมูลค่ากว่า 100,000 บาท  เป็นกิจกรรมที่น่าสนใจมาก คลิปร้องเพลงของมามิที่อัพโหลดไว้ใน Youtube มีเยอะมาก ก็เลยส่งเข้าประกวดกับเค้าซะเลย ดูกติกาแล้วสามารถส่งคลิปวิดีโอเข้าร่วมกิจกรรมได้มากกว่า 1 คลิป เลยจัดไปส่งไปก่อน 2 คลิป เดี๋ยววันไหนว่าง และ อารมณ์ดี จะให้มามิร้องเพลงอัดคลิปส่งประกวดเพิ่มอีก ตอนนี้เอาที่มีส่งไปก่อนเลยค่ะ



ตามไปชม ไปเชียร์ ไปโหวตกันได้นะคะ ไม่ชนะโหวตไม่เป็นไร ขอมีโอกาสได้เข้ารอบ 10 คนเข้าเพื่อได้ไปขึ้นเวทีโชว์ความสามารถให้คณะกรรมการได้ชมก็พอแล้วค่ะ เพราะน้องมามิชอบขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีมาก อยากให้เค้าได้มีโอกาสได้ขึ้นไปร้องเพลงอีกซักครั้ง ผู้ที่ร่วมโหวต มีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลสุดพิเศษตลอดกิจกรรมรวม 50 รางวัลด้วยค่ะ

สำหรับการส่งคลิปเข้าประกวดนั้นทำได้ง่ายมากสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีคลิปวีดีโอของลูกเราอยู่ใน Youtube อยู่แล้ว ตามลิงค์นี้ไปเลยค่ะ http://www.dettol.co.th/dream-chasers กดปุ่มส่งวีดีโอ แล้วกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน พร้อมใส่ลิ้งค์วิดีโอจาก Youtube แล้วคลิกส่งได้เลยค่ะ ไม่ใช่แค่คลิปร้องเพลงนะคะ เป็นคลิปที่น้องแสดงความสามารถของน้อง ไม่ว่าจะร้อง เล่น เต้น หรือแสดงความสามารถอื่นๆ ได้หมดค่ะ แต่ถ้าใครไม่มีบัญชี Youtube ก็สามารถคลิป ส่งข้อมูล ชื่อ-สกุล, ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์, ชื่อลูกน้อย พร้อมแนบไฟล์คลิปวิดีโอและชื่อคลิป อีเมล์ไปที่  DettolDreamChaser@gmail.com แล้วทางระบบจะทำการตรวจสอบ และอัพโหลดคลิปเข้าร่วมกิจกรรมให้ภายใน 24 ชม. ค่ะ

คลิกดูรายละเอียดและกติกาการประกวดได้ที่ : https://apps.facebook.com/dettol-dream-chasers นะคะ
ตามไปชม ไปเชียร์ ไปโหวตคลิปน้องมามิด้วยนะคะ

คลิปแรก เป็นการขึ้นร้องบนเวทีครั้งแรก ด้วยเพลง “The Show” : http://www.dettol.co.th/dream-chasers/detail.php?id=163
คลิปที่ 2 เป็นการขึ้นร้องบนเวทีครั้งที่ 2 ด้วยเพลง คิดถึงนะ” : http://www.dettol.co.th/dream-chasers/detail.php?id=162



วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

มหัศจรรย์รักจากแม่


วันนี้ได้มีโอกาสดูซีรีย์ Moment of Mom มหัศจรรย์รักจากแม่ เป็นเรื่องราวน่ารักๆ ของคุณพ่อ คุณแม่มือใหม่แกะกล่อง เป็นซีรีย์สั้น 8 ตอนด้วยกันลองเปิดดูตอนแรกแล้วเออน่ารักดี ไหนๆ ก็เปิดดูแล้วก็ดูมันให้จบทุกตอนเลยละกัน ดูไปก็ลุ้นไปกับเค้าด้วย ทำให้ย้อนกลับไปถึงตอนที่เป็นคุณแม่มือใหม่เหมือนกัน ตอนที่รู้ว่าท้องน้องมามิ มันใหม่ มันลุ้น มันตื่นเต้น มันกังวล มันสับสน มันสุข มัน มัน มันเยอะไปหมด แต่...มันเป็นอะไรที่มีความสุขนะ

ถ้าคนที่รู้เคยคุย หรือได้รู้จักกับแม่แหม่มมาก่อนจะรู้ดีว่ากว่าจะมีน้องมามินั้นไม่ได้ง่ายเลย แต่งงานตอนอายุ 26 แต่มีน้องมามิตอนอายุ 34 รวมแล้ว 9 ปีเลยนะคะ ตอนแต่งงานแรกๆ ก็ยังไม่คิดจะมี เพราะด้วยความที่ว่ายังไม่น่าจะพร้อม ขออยู่กันสองคนไปก่อน ผ่านไป 2 ปี ก็เริ่มคิดแล้วว่าเราน่าจะพร้อมมีลูกแล้วนะ ก็ไปหาหมอตรวจสุขภาพทั้งคู่ ปกติดี ไม่มีปัญหาอะไร ก็ปล่อยละ ผ่านไปหลายปีก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีเราทั้งคู่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนะ ไม่มีก็ไม่เป็นไรอยู่กันสองคนก็ได้แบบนี้ก็สบายดี

แต่มันเริ่มไม่สบายใจตอนที่ญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง คนรอบข้าง ต่างก็ตั้งคำถามกันตลอดเวลาว่าทำไมยังไม่มีน้อง ไปหาหมอหรือยัง ปรึกษาหมอหรือยังโน่นนี่นั่นเยอะไปหมด จนต้องมาคุยกันว่าลองพยายามกันดูซักทีไม๊ เริ่มจากตรวจสุขภาพอีกครั้งซึ่งก็ปกติดีทั้งคู่ จากวิธีง่ายที่สุด การนับวันตกไข่ จนถึงการคัดเชื้อ กระตุ้นไข่ ฉีดเชื้อไป 2 ครั้งก็ไม่ได้ผล จนสุดท้ายจบที่วิธีการทำเด็กหลอดแก้ว มันเป็นอะไรที่ทรมาณทั้งร่างกายและจิตใจ และใช้ความอดทนเป็นที่สุด ทำไป 2 รอบ ไม่สำเร็จ และเราก็ได้คำตอบสำหรับทุกคนแล้วว่าเราได้พยายามทุกสิ่งอย่างแล้วมันไม่มีจริงๆ

พอเราปล่อยวาง ไม่มีก็ไม่เป็นไร หยุดเสาร์ อาทิตย์ หยุดยาว เราก็เที่ยวต่างจังหวัดใกล้บ้าง ไกลบ้าง ทำในสิ่งที่เรารักคือการถ่ายรูป และแล้วในที่สุดในปีที่ 9 เจ้ามามิก็มาเองโดยไม่ต้องทำอะไรเลย ตอนรู้ว่าท้องไม่ได้กรี๊ดเสียงดังเหมือนในซีรีย์นะ นาทีนั้นถามว่าดีใจไม๊ มันงงๆ อึ้งๆ มึนๆ บอกไม่ถูก ตรวจเสร็จเดินกลับเข้าไปนอนต่อ บอกพี่บิ้นว่าขึ้นสองขีด พี่บิ้นกลับมาว่ามันหมายความว่างัย ตอบกลับไปว่า “ก็หมายความว่าท้องงัย” พี่บิ้นรีบลุกขึ้นไปดูซักพักก็เห็นกลับมานอนต่อ ก็นอนคุยกันว่าจะไปหาหมอวันไหน เพื่อตรวจให้ชัวร์

หลังจากคุยกันซักพักก็ออกมาอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะออกไปทำงานตามปกติ เดินไปหยิบกล้องมากดถ่ายรูปผลเทสไว้ เอ๊ะทำไมกล้องมันเปิดทิ้งไว้นะ เดินไปบอกพี่บิ้นว่าลืมปิดกล้อง ตั้งแต่กลับมาจากเชียงรายเลยมั๊ง พี่บิ้นบอกปล่าหรอก ตะกี๊เค้าหยิบมาถ่ายเองแหละ กดไปดูรูปถ่ายออกมาได้เบลอมาก เพราะตอนถ่ายพี่แกไม่ได้ใส่แว่นตา ฮามากเลย

หลังจากที่ไปตรวจและรู้แน่นอนว่าท้องก็ไม่ได้บอกใคร กลับบ้านมานั่งเขียน Blog ของเราไปตามปกติ เพื่อน พี่ และน้องๆ ที่ออฟฟิศก็รู้ข่าวจากการอ่าน Blog นี่แหละ ระหว่างที่ท้องอยู่ก็ได้คุณหมอที่ให้คำแนะนำต่างๆ เกี่ยวกับการเตรียมตัว ข้อควรระวัง คุณหมอคุยเก่ง อธิบายเก่ง ไปหาหมอแต่ละที ถามทุกเรื่อง คุณหมอก็ใจดีตอบทุกคำถาม นอกจากคำแนะนำจากคุณหมอแล้วก็อ่านหนังสือ นิตยสาร หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ตามเว็บอร์ดต่างๆ เรียกว่าอ่านเยอะมาก ศึกษาเยอะมาก แล้วปฏิบัติตัวตามตำราเป๊ะเลยนะ นมสองแก้วเช้าเย็นควรเลือกนมที่มีโฟเลตสูง ไข่วันละฟอง ผลไม้ไม่มีขาด ไม่กินหวาน ไม่กินมัน ไม่กินแป้งเยอะเกินไป

เรื่องแพ้น่ะเหรอไม่มี๊ ไม่มีวันไหนที่ไม่กอดคอกับชักโครก แค่อาเจียนวันละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อยเอง แต่ก็ทานได้ปกติ กินไปด้วยเอาออกมาด้วย แต่ก็ขยันกินมันเข้าไปท่องไว้ในใจ เพื่อลูก เพื่อลูก แพ้ไม่นานแค่สี่เดือนเองจิ๊บๆ ตอนท้องนี่ถ้าไม่นับเรื่องแพ้ เรื่องท้องอืด เรื่องอึดอัด ปวดฉี่บ่อยตอนใกล้คลอดแล้วล่ะก็ มันช่างเป็นเวลาที่มีความสุขที่สุดเลยนะ เพราะมันคือความมหัศจรรย์ของชีวิตผู้หญิงคนนึงจริงๆ ที่มีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ในร่างกายของเราที่เรียกว่าลูก รักตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้า ทำทุกอย่างได้เพื่อเค้า

ความสุขอีกอย่างคือ เราได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีจากสามีเหมือนในซีรีย์เลยค่ะ คอยอยู่เคียงข้างเราตลอด จากเคยดูแลกันดีอยู่แล้ว พอท้องยิ่งดูแลเราเป็นพิเศษมากขึ้น  เวลาไปเดินซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเค้าเป็นคนแรกเลยที่ไปถึงแผนกนมอ่านฉลากทุกกล่อง เลือกนมให้ทั้งแบบชง และแบบ UHTพยามอ่านที่ฉลากของนมและเลือกนมที่มีสารอาหารที่บำรุงลูกน้อยในครรภ์เช่นโฟเลตสูง มีวิตามินครบถ้วน ซื้อขิงผงสำเร็จรูปให้มาให้กินแก้ท้องอืด ผงงาดำสำเร็จรูปเพื่อเพิ่มแคลเซี่ยม ช่วยเลือกซื้อครีมทาแก้ท้องลาย หลังอาบน้ำเสร็จเค้าจะช่วยทาครีมที่ท้อง หน้าอก ขา ให้ทุกครั้ง ต่อด้วยการนวดหลัง นวดคอเบา นวดขา ตามด้วยเปิดเพลงเบาๆ ตื่นเช้ามาจะชงนมวางไว้ให้ 1 แก้ว อาบน้ำ แต่งตัวเสร็จก็หยิบมาดื่มได้เลย ก่อนนอนก็ชงนมวางไว้ให้ 1 แก้ว อาบน้ำ แต่งตัวเสร็จก็ดื่มนมเตรียมตัวเข้านอนได้เลยทำแบบนี้ทุกวันตั้งแต่ท้องได้สองเดือนจนถึงวันที่คลอด ไม่เคยได้ชงนมกินเองเลย การที่เค้าทำแบบนี้เป็นประจำทุกวันอย่างสม่ำเสมอ นอกจากทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย สบายตัวแล้ว ทำให้เรารู้สึก อุ่นใจ อบอุ่น อารมณ์ดี มีความสุข และหลับสบาย

ส่วนเรื่องอาหารการกินเค้าก็พยายามพาไปทานอาหารที่เราชอบ ที่เราถูกใจ เวลาไปธุระที่ไหน ก็ไม่ลืมที่จะซื้ออาหารที่เราชอบทานหิ้วมาฝากประจำ ไม่ว่าจะเป็นตำมะม่วงระสแซ่บ เมี่ยงปลาทูเจ้าประจำ เวลาได้ทานอาหารที่เราชอบ เราถูกใจ ทำให้เรามีความสุขในการทานอาหารทุกครั้ง และทานอาหารได้เยอะขึ้นด้วยค่ะ

มาฮาตอนสุดท้ายนี่ตอนที่คุณภรรยาเจ็บท้องคลอดนี่แหละค่ะ เหมือนกันเปี๊ยบเลย คือคุณสามีตื่นเต้นมากทำอะไรไม่ถูกวิ่งพล่านทั่วห้องเลย ขับรถไปโรงพยายาลตัวสั่นกันทั้งคู่เลย พอมานั่งคิดดูความทรงจำยังชัดเจนมาก เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นานนี่เอง เป็น 37 สัปดาห์แห่งความมหัศจรรย์จริงๆ ค่ะ
สงสัยล่ะสิว่า…แม่แหม่มไปดูฃีรีย์อะไรมาถึงได้มาเขียน Blog เล่าเป็นเรื่องเป็นราวได้ขนาดนี้ เค้าทำออกมาน่ารักมากเลยค่ะ เหมาะมากสำหรับสำหรับคุณแม่มือใหม่ คุณแม่ลูกสอง และคุณแม่ทุกคนค่ะ ชวนคุณพ่อดูด้วยกันก็ได้นะคะ ดูแล้วในแต่ละตอนมีให้ร่วมกิจกรรมเล็กๆ ตอบคำถามลุ้นของรางวัลทุกสัปดาห์ค่ะ ตามลิงค์ไปดูเลยค่ะ: http://www.facebook.com/S26MomClub/app_437256743032840

วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

หนูขอกดเอง...เหตุการณ์ระทึกขวัญในลิฟท์


ช่วงนี้มามิชอบกดลิฟท์มาก จะขึ้น จะลง เป็นต้องขอกดเอง พอรู้ว่าจะขึ้นลิฟท์ มามิจะวิ่งนำไปก่อน แล้วถามว่าขึ้นหรือลงคะ พอเข้าไปในลิฟท์มามิจะถามว่าชั้นไหน เรื่องกดขึ้นไม่ต้องถามเพราะมามิ จะกดได้แค่ชั้น 1 หรืออย่างมากชั้น 3 หนูจึงทำได้แค่กดปิด กดเปิด เพราะตัวเตี้ย แต่ตอนลงชั้น 1 หนูจะได้กดเลข 1 ด้วย หนูจะฟินมาก...

และแล้วเหตุก็เกิดตอนสงกรานต์ที่คอนโดหัวหิน...ทุกคนกำลังวุ่นวายจัดกระเป๋า เก็บของ เก็บขยะ เตรียมตัวกลับบ้าน ตั๋วโกวเก็บของเสร็จก่อน เลยอุ้มเจ้าโมโม่ลงไปรอข้างล่าง แม่เก็บของเสร็จก็ตามพนักงานขนกระเป๋าจะตามไปดูว่าเอากระเป๋าเข้ารถถูกคัน หรือเปล่า เจ้ามามิก็เดินตามมา ส่วนปะป๊าก็ยังตรวจสอบความเรียบร้อยในห้องอยู่ แม่เดินมาที่หน้าลิฟท์ เจ้ามามิก็วิ่งมากดปุ่มลงก่อนเลย

ลิฟท์ 3 ตัวเปิดพร้อมกัน...ก่อนเข้าลิฟท์แม่เหลือบไปเห็นว่าตั่วโกวอุ้มโมโม่ออกมา จากลิฟท์ทางด้านซ้ายสุด ก็เลยเดินไปอุ้มโมโม่ เพื่อจะเอาลงไปด้วย หันไปอีกทีมามิวิ่งเข้าลิฟท์ตัวกลางไปแล้ว และประตูลิฟท์กำลังจะปิด แม่ตะโกนสุดเสียง "มามิ๊......กดปุ่มเปิดเร็วลูก" ตั่วโกวก็กดปุ่มทางด้านนอกลิฟท์ก็ไม่ยอมเปิด ได้ยินเสียงมามิตะโกนร้องแม่ๆๆๆ จากด้านในลิฟท์ ประตูก็ไม่ลิฟท์ไม่ยอมเปิดซักที

แว๊บนั้นคิดแค่ว่าถ้ามามิไม่ยอมกดชั้นไหนเลยกลัวคนกดเรียกไปชั้นอื่นแล้วไม่ รู้จะตามลูกไปถูกไม๊ ก็เลยตะโกนบอกลูก มามิกดชั้น 1 นะลูก ชั้น 1 นะคะ แล้วเสียงลูกก็เงียบหายไป ปะป๊าได้ยินเสียงแม่ตะโกน รีบตะโกนบอกว่ากดลิฟท์ตามลูกไปเร็วๆ แม่ก็อุ้มวิ่งไปที่ลิฟท์อีกตัวกดตามลงไป

ก่อนที่ลิฟท์แม่จะเปิดได้ยินเสียงมามิพูดแว่วมาว่า "ชั้น 7 ค่ะ ชั้น 7 ค่ะ" รีบวิ่งหน้าตั้งออกจากลิฟท์ ประตูลิฟท์ตัวเดิมที่ลูกลงมา กำลังจะปิดลง แม่มองลอดเข้าไปมีผู้ใหญ่เต็มลิฟท์ เจ้ามามิยืนตรงกลาง แม่ตะโกนสุดเสียง "มามิ๊....ออกมา!!!!" โชคดีที่ประตูลิฟท์ยังไม่ทันปิด คนในลิฟท์กดปุ่มเปิดก่อน แม่เข้าไปลากมือมามิออกมาอย่างไว แล้วรีบจูงลูกออกไปจากลิฟท์อย่างไว ไม่มอง ไม่พูด ไม่คุยกับใครทั้งนั้น ส่วนปะป๊าวิ่งออกจากลิฟท์ตัวขวาสุดตามมาแบบติดๆ วิ่งเท้าเปล่าออกมาเลย

ลิฟท์ที่คอนโด เป็นลิฟท์เก่า ข้อเสียของมันก็คือ เมื่อประตูลิฟท์ปิดแล้วแม้จะยังไม่ได้เลือกชั้น กดปุ่มเปิด มันก็ไม่ยอมเปิดแล้ว.....

เจ้ามามิสติดีมาก ส่งเสียงเรียกแม่ๆ แต่ไม่ร้องไห้ ไม่มีน้ำตาซักหยด ถามว่าตกใจไม๊ หนูบอกว่าตกใจ แต่ยังจะกลับขึ้นไปหาแม่อีก เห้ออออ....

เมื่อได้ลูกกลับมาแล้วต้องมานั่งสอนกันใหม่ว่า...

1. ก่อนขึ้นลิฟท์ทุกครั้งต้องรอเข้าไปพร้อมพ่อ แม่ ห้ามเข้าไปก่อนเด็ดขาด ให้จำให้แม่น
2. ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกครั้งให้จำไว้ว่าให้กดเลข 1 พอลิฟท์ลงมาถึงชั้น 1 ให้ออกมาแล้วยืนรอ พ่อ แม่อยู่ ที่หน้าลิฟท์ ไม่ต้องกลับเข้าไปในลิฟท์ พ่อ แม่จะตามลงมาหาหนู ห้ามไปไหนกับใครเด็ดขาด ใครมาถามให้บอกไปว่า หนูรอพ่อกับแม่ พ่อกับแม่กำลังจะลงมาแล้ว
3. กรณีที่พลัดหลงกับพ่อแม่ ไม่ว่าที่ไหน ให้ยืนอยู่กับที่ ใครมาทัก บอกจะพาไปโน่นไปนี่บอกว่าไม่ไป หนูจะรอพ่อกับแม่ที่นี่ ให้ยืมโทรศัพท์เค้า หรือบอกให้เค้าโทรหาพ่อ กับแม่ให้มารับหนูหน่อยค่ะ หนูจำเบอร์พ่อกับแม่ได้

หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ไปแล้ว สอนลูกแล้วสอนลูกอีก บอกต้องจำไว้ให้ดีสิ่งที่แม่สอน คราวนี้โชคดีที่แม่ตามเจอ ถ้าแม่ตามหาหนูไม่เจอ คนร้ายจับตัวไป มามิจะไม่ได้เห็นหน้าพ่อกับแม่อีกเลย ทุกครั้งที่พูดถึงเหตุการณ์ในลิฟท์ มามิจะร้องไห้ทุกครั้ง ตอนเกิดเรื่องไม่ร้องนะ...