วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

กลิ่นตัวในเด็กสาเหตุมาจากอะไร?


เป็นคนชอบอ่านบทความ หรือกระทู้ต่างๆ ที่เกี่ยวกับเด็กในวัยของมามิ และลูกโมโม่ แล้วบังเอิญได้ไปอ่านกระทู้เกี่ยวกับเรื่องกลิ่นตัวของเด็ก บางคนมาถามว่า ลูกสาว ลูกชาย มีกลิ่นตัวแต่งแต่อายุเพิ่ง 5-6 ขวบ โห...อะไรจะไวขนาดนั้น แต่เป็นเรื่องจริงค่ะ ไม่เชื่อลองไป search จากคำว่า “กลิ่นตัวในเด็ก” ก็จะพบบทความ และกระทู้คำถามมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้

สาเหตุของกลิ่นตัวในเด็กมาจากอะไรบ้าง เท่าที่อ่านมาขอสรุปแบบคร่าวๆ นะคะ

1. เด็กเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย บางคนเริ่มตั้งแต่ 5-6 ขวบเลย พ่อแม่บางคนสังเกตได้จากกลิ่นตัวน้องก่อน ถ้าน้องเริ่มมีกลิ่นตัว ให้ลองสังเกตร่างกายของน้องด้านอื่นๆ ดู เช่น เต้านม หรือขนตามที่ต่าง ๆ การเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็วกว่ากำหนด มีผลทำให้ช่วงวัยเด็กและวัยรุ่นสูงกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน แต่เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จะเตี้ยและหยุดโตเร็ว ดังนั้นหากมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางแก้ไขโดยด่วนค่ะ

2. ประเภทของอาหาร ก็เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้เกิดกลิ่นตัวได้เช่นกันค่ะ พวกหัวหอม กระเทียม อาหารที่ใส่เครื่องเทศต่างๆ ไข่ นมเนย ถั่วต่างๆ เป็นต้น แม่หลายคนบอกว่าลูกตัวผอมสูงก็มีกลิ่นตัวได้เหมือนกัน จากการชอบทานของทอดพวกน่องไก่ ปีกไก่ทอด ความอ้วนก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้มีกลิ่นตัว เนื่องจากหากอ้วนมากเวลาเหงื่อออกตามซอกต่างๆ เช่น รักแร้จะอับชื้นง่ายกว่าคนที่รูปร่างไม่อ้วนจึงทำให้มีกลิ่นตัวได้ง่ายกว่าค่ะ

3. กรรมพันธุ์ ลองสังเกตคนแต่ละเชื้อชาติมีกลิ่นตัวที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันไป ซึ่งกลิ่นตัวสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ด้วยค่ะ ถ้าเป็นมากเรียกว่า “โรคกลิ่นตัวเหม็น” พวกนี้สามารถรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ และงดอาหารที่ก่อให้เหงื่อ กลิ่นตัว และปัสสาวะมีกลิ่นเหม็นมากเช่น ปลาเค็ม เนื้อสัตว์ ถั่วเหลือง ไข่แดงและถั่ว สะตอ ทุเรียน เป็นต้น



เลยลองคุยกับกลุ่มคุณแม่เหมือนกันเรื่องกลิ่นตัวเด็ก ได้ยินชื่อ Toofruit ค่ะ เป็น Skincare สำหรับเด็ก และมีโรลออนด้วย ลองเอามาให้มามิใช้ดู จริงๆ แล้วมามิยังไม่มีกลิ่นตัวรุนแรงอะไรมากมาย แค่ช่วงนี้อากาศร้อนจัด พอไปเล่นกลางแจ้งนานๆ เหงื่อท่วมตัว กลับมาถึงบ้านตอนเย็นๆ ก็แอบมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวเล็กน้อยแม่ดมแล้วก็ยังชื่นใจอยู่ แต่คนอื่นนี่สิไม่รู้ว่าอยู่ใกล้เค้าจะทนได้เหมือนเราหรือเปล่า
เริ่มสนใจแบรนด์นี้ขึ้นมาแล้ว เลยลองหาข้อมูล และมารู้จักแบรนด์ Toofruit กันก่อนดีกว่าค่ะ

Toofruit Info - นำเข้าจากฝรั่งเศส มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตราย และไม่มีสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ เพราะใช้สารสกัดจากผลไม้ตามธรรมชาติ ผ่านตรารับรองของสถาบัน Ecocert จากประเทศฝรั่งเศส เป็นมาตรฐานออร์แกนิคเข้มงวดในระดับโลก ดังนั้นโรงแรมและสปาชื่อดังทั่วโลกต่างไว้ใจใช้ Toofruit ดูแลผิวให้กับเด็กๆ


MON PREMIER DEO มองเพรอมิแยร์ เดโอ โรลออน


  
Product Info  - ช่วยลดเหงื่อและระงับกลิ่นกาย ด้วยสูตรสกัดธรรมชาติกลิ่นส้มโอกับมินท์ ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และสารอลูมิเนียม ปกป้องแบคทีเรียและปกป้องกลิ่นตัว พร้อมบำรุงผิวไม่ให้หมองคล้ำ กลิ่นหอมสดชื่นอย่างเป็นธรรมชาติ และอ่อนโยนต่อทุกสภาพผิว เหมาะสำหรับเด็กๆ ที่รักกิจกรรมกลางแจ้ง วิธีใช้ก็แค่คว่ำขวดให้โลชั่นสัมผัสลูกกลิ้ง ทาให้ทั่ววงแขน เพียงเท่านี้ก็มีกลิ่นกายที่หอมสดชื่นตลอดทั้งวันค่ะ

Review : 
กลิ่นดีค่ะ หอมออกส้มๆ สดชื่น ใช้แล้วเด็กๆ ไม่คันไม่แพ้ค่ะ แห้งเร็ว สีผิวลูกไม่เปลี่ยนแปลง และไม่มีกลิ่นตัวค่ะ เวลาเหงื่อออกเป็นกลิ่นหอมอ่อนๆ แทน นอกจากนั้นชอบเพราะว่าใช้ได้ทั้งครอบครัว เป็นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคด้วย ลูกไม่ระคายเคืองค่ะ


นอกจากนั้นเห็นมี Toofruit มีไลน์สินค้าค่อนข้างเยอะ อีกตัวที่รู้สึกว่ามันใช่ และอยากรีวิวให้คุณพ่อคุณแม่ท่านอื่นฟังด้วยคือ So Cool ค่ะ


SO COOL ครีมโซคูล ของ TOOFRUIT



Product Info  -  เป็นเจลเย็นบำรุงผิวหน้าให้ความชุ่มชื้นและลดรอยกร้านจากการตากแดดเป็นเวลานานหลังจากออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา กลางแจ้ง มีกลิ่นหอมของบลูเบอรี่ผสมกับสารสกัดจากทับทิม และมีส่วนผสมของมิ้นท์ที่มีเนื้อครีมทีซึมซับผิวได้ง่ายและเร็ว มีสารเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว โดยจะเข้าบำรุงตั้งแต่ผิวหนังชั้นนอก สู่ผิวหนังชั้นใน ทำให้ผิวยังดูชุ่มชื่นแม้เจอกับมลภาวะหรือแสงแดด ยังมีคุณสมบัติช่วยลดการระคายเคือง การอักเสบของผิว และช่วยลดปัญหาสิว รวมถึงผื่นแดง ผื่นคันบนผิว ช่วยปรับสภาพผิว เพิ่มความขาวเรียบเนียน และลดรอยแผลเป็น ช่วยปรับสภาพผิวหลังการออกแดดได้อย่างสมดุล

Review : 
ลองให้เด็กๆ ใช้หลังทำกิจกรรมออกแดด โดยล้างหน้าเช็ดคราบเหงื่อออก และทาโซคูลตัวนี้ลงไป จะรู้สึกเย็นใบหน้า ผิวดูชุ่มชื่นขึ้นค่ะ โดยรวมผิวนุ่มและดูสดชื่นขึ้น ส่วนเรื่องลดความกร้านแดดนั้นต้องวัดกันที่ระยะยาว เหมาะกับเด็กๆ ที่เล่นกีฬาบ่อยๆ และออกแดดเป็นประจำ ส่วนเรื่องกลิ่นเป็นส่วนผสมของทับทิม หอม สดชื่น เป็นธรรมชาติดีค่ะ


นอกจากมองเพรอมิแยร์ เดโอ โรลออน และครีมโซคูล แล้ว TooFruit ยังมีผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กอีกมากมาย ทั้งครีมบำรุงผิวหน้า ทำความสะอาดผิวหน้า โลชั่น เจลอาบน้ำ ระงับกลิ่นกาย และดูแลริมฝีปาก อีกด้วยค่ะ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.toofruitthailand.com นะคะ



วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

รีวิว Samsung KidsTime Application แอพพลิเคชั่นสุดเจ๋งสำหรับเด็ก

เดี๋ยวนี้คงไม่มีใครที่จะปฏิเสธว่าไม่รู้จักแทบเล็ต หรือสมาร์ทโฟนต่างๆ แม่แหม่มเชื่อว่า หลายๆบ้านเองก็อาจจะใช้มันเป็นผู้ช่วยในการสอนลูกให้เรียนรู้สิ่งต่างๆ และยิ่งเดี๋ยวนี้หลายๆ แอพของสมาร์ทโฟนเองก็พัฒนาออกแบบมาได้ฉลาดล้ำ ทำหน้าที่ของมันได้ดีจริงๆ ช่วยให้ลูกๆของเราได้รับสิ่งดีๆ และเพิ่มพูนทักษะในด้านต่างๆ ได้ ไม่ต่างกับมีครูดีๆ มาสอนให้ถึงบ้านเลยทีเดียว


และเมื่อวันเด็กที่ผ่านมา แม่แหม่มกับมามิก็ได้รับเกียรติจาก บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด ให้ไปร่วมงานเปิดตัวแอพพลิเคชั่น Samsung  KidsTime และได้มีโอกาสลองใช้แอพตัวนี้ นอกจากความสนุกภายในงานที่มามิได้รับจากเครื่องเล่นต่างๆ ของ Playtime แม่แหม่มก็ได้ทำความรู้จักกับแอพดีๆ ตัวนี้อย่างลึกซึ้ง จนเมื่อกลับถึงบ้านก็ต้องรีบเข้า Google Play Store ดาวน์โหลดมาใช้กัน ซึ่งนอกจากจะฟรีแล้ว ยังมีเกมส์ต่างๆ และอีบุ๊ค ให้โหลดภายในแอพได้ฟรีถึง 10 รายการ แต่ถ้าอยากได้มากกว่านั้นก็สามารถจ่ายรายเดือน เพียงเดือนละ 160 บาท ก็จะสามารถโหลดเกมส์ และอีบุ๊คได้ไม่จำกัด ในตอนนี้มีมากกว่า 80 รายการเลยทีเดียว

เกมส์หลักๆ ที่มีก็จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางด้าน IQ EQ การเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาศาสตร์ ความคิดสร้างสรรค์ การอ่าน และ การจดจำ เรียกได้ว่าพัฒนาทักษะต่างๆ ได้ครอบคลุมทุกเนื้อหาสำหรับเด็กวัย 3-7 ขวบ แอพนี้เลยเล่นได้ทั้งมามิ และโมโม่ คุ้มจริงๆ ค่ะ


เมื่อเริ่มเปิดใช้งานแอพ ก็สามารถกำหนดเวลาที่จะให้เด็กได้เพลิดเพลินกับแอพ ได้ตั้งแต่ 5-60 นาที จากการลองเล่นดูคิดว่าเวลาที่เหมาะก็น่าจะ 20-40 นาที น่าจะพอสำหรับเด็กที่จะอยู่ในอารมณ์เพลินๆ ไม่เครียดเกินไป และไม่หมกมุ่นมากนัก จนทำให้หงุดหงิด และไม่ต้องกลัวว่าเด็กจะมาเปิดเล่นเองได้ เพราะตัวแอพสามารถล็อคแอพได้ โดยผู้ปกครองสามารถตั้งรหัสการใช้งานได้ สบายใจได้ว่า เด็กๆ จะต้องขออนุญาตก่อนถึงจะได้เล่น


มีทั้งเมนูภาษาอังกฤษ และภาษาไทยให้เลือกค่ะ

อย่างมามิเองก็จะชอบเกมส์ Wonder Bunny, Gocco Fire Truck, Surf n Slide, และอีบุ๊คต่างๆ ก็เป็นของโปรดสำหรับมามิที่จะฝึกการอ่าน และยังอ่านให้โมโม่ฟังได้ด้วยนะ อ้อ หรือจะให้ตัวโปรแกรมอ่านให้ฟังก็ได้เหมือนกัน ส่วนโมโม่เองก็มีพวกอีบุ๊ค ที่มีภาพอนิเมชั่นดุ๊กดิ๊ก ไปด้วยพร้อมกับอ่านให้ฟังด้วย ทำให้โมโม่ตื่นเต้น สนุกสนานได้ และยังมีเนื้อหาที่เป็นวีดีโอการ์ตูนด้วยที่เหมาะสมกับเด็กด้วย เช่น Hamtaro, Little Pony เป็นต้นค่ะ





อ้อ อีกอย่างแอพพวกนี้ จะไม่มี  inapp purchase มาให้ผู้ปกครองต้องกังวลว่าจะมีค่าใช้จ่ายแฝงมาในเกมส์ ทำให้ต้องคอยปวดหัวกับบิลค่าโทรศัพท์ หรือบัตรเครดิต ต้องมาทะเลาะกับ operator หรือกับบริษัทบัตรเครดิต กับค่ายใช้จ่ายแฝง ที่สูงลิบลิ่ว จนเป็นข่าวหน้าหนึ่งแน่นอน

เรื่องความปลอดภัยของแอพ Samsung KidsTime นี้ ผู้ปกครองสามารถวางใจได้ในเรื่องของเนื้อหา ซึ่งเหมาะสมกับเด็กในวัยต่างๆแน่นอน อีกทั้งยังไม่มีโฆษณาเด้งขึ้นมาพาให้ลูกๆ เสียสมาธิ หรือเผลอกดอะไรที่ทำให้พ่อแม่ตกใจแน่นอน ทำให้พ่อแม่สามารถวางใจปล่อยให้ลูกๆ อยู่กับแอพฯ นี้ได้อย่างสบายใจค่ะ


หลังจากเด็กๆ สนุกกับเกมส์ต่างๆ แล้วก็ถึงคราวของผู้ปกครองที่จะคอยสอดส่องว่า เด็กๆ เล่นอะไรไปบ้าง ด้วยการเข้าใช้งานในส่วนของ เครื่องมือของผู้ปกครอง ที่จะมีแดชบอร์ดแสดงผลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่เล่น เกมส์ที่เล่น หรือหนังสือที่อ่าน สามารถดูได้ว่าสัดส่วนของพัฒนาการด้านต่างๆ เป็นอย่างไร ทำให้แอพนี้เป็นอะไรที่มากกว่าแอพเกมส์ของเด็ก แต่เราสามารถติดตามพัฒนาการของเด็กได้ด้วย




บอกตรงๆ ว่าแม่แหม่มเอง เห็นแอพนี้แล้วก็ไม่ลังเลเลยที่จะให้มามิใช้งาน เพราะว่าทุกสิ่งอย่างที่ลูกใช้งานได้ถูกบันทึกไว้ เหมือนว่าเรายังคงเฝ้าติดตามเขาอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าในบางเวลาเราต้องละสายตาจากเขาไปทำงานต่างๆในบ้าน เราก็ยังวางใจที่จะให้เขาได้อยู่กับเครื่องมือที่บางคนอาจจะคิดว่าเป็นอุปสรรคขัดขวางพัฒนาการของเด็ก แต่นี่กลับเป็นส่ิงตรงกันข้ามกับความคิดเดิมๆนั้น ซึ่งมาช่วยให้พัฒนาการของเด็ก เป็นไปอย่างมีทิศทาง ยังไงก็ต้องขอขอบคุณบริษัทซัมซุงอีกครั้งที่สร้างสรรแอพดีๆ แบบนี้มาให้ค่ะ



ส่วนใครที่สนใจ อยากหาข้อมูลเพิ่มเติมลองเข้าไปดูในคลิปด้านล่างนี้ได้นะคะ ที่จะสรุปข้อดีของแอพลิเคชั่นนี้จากแม่แหม่ม และบล็อกเกอร์ท่านอื่น และมีของ คุณอ้อม พิยดา ตามลิ้งด้านล่างนี้ค่ะ

ความเห็นของบล็อกเกอร์ท่านอื่น : http://youtu.be/p4nZiVqSPjg

ความเห็นของคุณคุณอ้อม พิยดา : http://youtu.be/DqqiIgueWV0

หากใครสนใจจะลองโหลดแอพลิเคชั่นนี้มาทดลองสามารถโหลดได้ตามลิ้งค์ด้านล่างนี้เลยค่ะ 
https://play.google.com/store/apps/details?id=com.samsung.kidstime&referrer=utm_source%3D%26utm_medium%3D%26utm_term%3D_%26utm_content%3D_Imami_Launch_Google%20Play%26utm_campaign%3DThailand 

รายละเอียดเพิ่มเติม 
http://www.samsungkidstime.com/?referrer=utm_source%3D_%26utm_medium%3D%26utm_term%3D_%26utm_content%3D_Crazy_Rabbit_Launch_Website%26utm_campaign%3DThailand 

วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558

หนูได้เล่น และรียนรู้ในโลกที่ปลอดภัยและสนุกสนาน


เมื่อวันเสาร์ที่ 10 หรือวันเด็กที่ผ่านมาได้รับเชิญให้ไปงานเปิดตัวแอพพลิเคชั่นใหม่ ซัมซุงคิดส์ไทม์ (Sumsung KidsTime) ที่ PlayTime Parklane เอกมัย วันเด็กปีนี้เลยเป็นวันเด็กที่พิเศษที่สุดปีนึงของมามิเลยล่ะค่ะ  จากกำหนดการงานเริ่มตอน 10 โมงเช้า จริงๆ อยากไปก่อนเวลาซัก 9 โมง แต่เมื่อคืนวันศุกร์มามิซ้อมละครเวทีเลิกดึกมาก พอเห็นเจ้ามามิหลับสบายก็ไม่กล้าปลุก ก็มันเป็นวันของเค้านี่น่าเลยปล่อยให้นอนหลับสบาย จนตื่นเองตอน เกือบเก้าโมง กว่าจะจับอาบน้ำ แต่งตัว ออกจากบ้านก็ปาเข้าไป เก้าโมงครึ่งแล้ว เลยบอกมามิว่า วันนี้เราจะเดินทางด้วย MRT ต่อด้วย BTS เพราะน่าจะถึงเร็วกว่าการขับรถไป เจ้ามามิตื่นเต้นดีใจมาก เพราะชอบนั่งรถไฟฟ้ามาก แล้ววันนี้เด็กๆ ก็ได้ขึ้นรถไฟฟ้าฟรีด้วยยิ่งทำให้ดีใจใหญ่ เพราะรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันพิเศษของหนูจริงๆ



ไปถึงที่งานเวลา 10.00 น. พอดี ไปถึงก็ทำการลงทะเบียน เจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี และพาเข้าไปในงาน พอเดินเข้าไปด้านในเจ้ามามิได้เห็นเครื่องเล่นต่างๆ ใน PlayTime และเห็นเด็กๆ คนอื่นที่ไปถึงก่อนหน้านี้แล้วเล่นกันสนุกสนาน ยิ่งตื่นเต้น ตาโต หันมาถามแม่ว่าหนูขอเล่นได้ไม๊ พอแม่บอก ไปเล่นได้เลยค่ะ ตามสบาย แต่ต้องเล่นด้วยความระมัดระวังนะ เท่านั้นแหละ วิ่งขึ้นไปบนเครื่องเล่นแล้วหายไปเลย ส่วนแม่ก็เดินทักทายเพื่อน และคนรู้จักในงาน พร้อมเดินชมบรรยากาศภายในงานไปเรื่อยๆ  พร้อมชำเลืองมองดูว่ามามิอยู่ตรงไหนของเครื่องเล่นเป็นระยะๆ เจ้ามามิสนุกสนานกับเครื่องเล่นจนลืมแม่ไปเลย



พอได้เวลาเปิดงานพ่อแม่ก็ไปนั่งฟังการแนะนำแอพพลิเคชั่น ส่วนเด็กๆ ก็ปล่อยให้เล่นเครื่องเล่นไป ซึ่งทาง PlayTime มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลเด็กๆ อยู่ค่ะ ช่างเลือกสถานที่จัดงานได้ถูกใจทั้งผู้ใหญ่ และเด็กจริงๆ ค่ะ ได้นั่งฟังแบบไม่มีเด็กๆ มาคอยกวนใจเลยค่ะ เด็กบางคนที่เล่นเครื่องเล่นเบื่อแล้ว หรืออยากมานั่งใกล้กับพ่อแม่ ทางทีมงานก็เตรียมที่นั่งสำหรับเด็ก และ Tablet ไว้ให้ได้ลองเล่นเกม ฟังนิทานกัน โดยมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลและแนะนำเด็กๆ อย่างใกล้ชิดค่ะ

โดยพิธีกร คุณสุผจญ  กลิ่นสุวรรณ ได้กล่าวต้อนรับ และเชิญ คุณปวิช วาสนสมบูรณ์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายคอนเทนต์และเซอร์วิส ธุรกิจโทรคมนาคมบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด  ได้มาพูดคุยว่าปัจจุบันเราจะเห็นว่าพ่อแม่ ผู้ปกครองจะยื่น Smart Phone หรือ Tablet ให้ลูกเมื่อลูกอยู่ไม่นิ่งหรือมากวนใจ จะเห็นได้ทั่วไปตามสถานที่ต่างๆ และร้านอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก และได้มาแนะนำแอพพลิเคชั่นใหม่ Samsung Kids time ว่า เกิดมาจาก พ่อแม่ชาวเอเชียต้องการโปรแกรมที่จะช่วยป้องกันลูกจาก Smart device สำหรับเด็กอายุ 3-8 ปีที่ใช้อุปกรณ์เหล่านี้ไม่กี่ครั้งต่ออาทิตย์เพื่อเล่นเกมและดูวีดีโอ ผู้ปกครองต้องการหาวิธีในการควบคุมการใช้งานของอุปกรณ์, เนื้อหา และติดตามผลการเรียนรู้จากการใช้งานแอพ โดยที่อุปกรณ์เหล่านี้สามารถใช้ร่วมกันได้ แอพจะถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้หลายโปรไฟล์ สำหรับคนที่มีลูกหลายคนก็สามารถติดตามผลการเรียนรู้ของลูกๆ ได้ว่าแต่ละคนชอบเล่นและมีความถนัดในด้านไหน


นอกจากนี้ คุณ Gerald Cai, Regional Head of Learning (Samsung MSCSEA) ได้มาพูดอธิบายเกี่ยวกับแอพพลิเคชั่น Samsung KidsTime ว่า จากผลการสำรวจของ The Asian Parent insight 78% ของพ่อแม่ชาวเอเชียคิดว่าอุปกรณ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ดี แต่ควรมีความปลอดภัย  KidTtime มีเนื้อหาที่เหมาะสำหรับเด็กโดยเฉพาะ อีกทั้งยังเป็นสื่อการเรียนรู้และบันเทิง เหมาะกับเด็กอายุ 3-7 ปีด้วย โดยผู้ปกครองที่ต้องการ Samsung KidsTime สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีและมาพร้อมเนื้อหาอื่นๆ อีก 10 เรื่อง ที่เป็นฉบับภาษาไทย ส่วนลูกค้า ซัมซุงสามารถอัพเกรดเป็นการใช้งานแบบหลายเดือนได้ในราคา 160 บาท และสามารถเล่นเกมส์ หรือเลือกอ่านอีบุ๊คได้ถึง 80 เรื่อง และยังดูวีดีโอการ์ตูนได้ด้วย เช่น สอนการเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ความคิดสร้างสรรค์ และอื่นๆ อีกมากมาย


จุดเด่นหลักๆ อยู่ตรงที่สามารถตั้งเวลาเพื่อให้ผู้ปกครองสอนลูกเกี่ยวกับวิธีการใช้เทคโนโลยีอย่างมีความรับผิดชอบ โดยสามารถตั้งเวลาได้อย่างต่ำ 5 นาที ไปจนถึงสูงสุดคือ  60 นาที หรือ 1 ชั่วโมง เป็นระบบที่ต้องอาศัย รหัสจากผู้ปกครอง เพื่อทำการเปิดระบบ ทั้งนี้เพื่อเป็นการควบคุมการใช้งานของเด็ก หลังการใช้งานแล้วผู้ปกครองสามารถดูรายงานการใช้ของเด็กได้อีกด้วย และที่ชอบและตอบโจทย์มากที่สุดคือ เมื่อเปิดแอพนี้ให้ลูกเล่นแล้ว เราสามารถไปทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าลูกจะเปลี่ยนไปเล่นเกม แอพที่ไม่เหมาะสมได้ เพราะระบบจะล็อคเอาไว้ไม่ว่าจะกดปุ่ม Home หรือปุ่มไหนก็ไม่สามารถออกจากแอพได้จนกว่าจะหมดเวลาที่เราได้กำหนดไว้  อันนี้แหละมันใช่เลย!!!


ภายในงานได้มีการเปิดโฆษณาตัวใหม่ของซัมซุงให้ได้ชมด้วยค่ะ พอได้ดูโฆษณาจบแล้ว เออนะ มันใช่เลย เราเป็นแบบในโฆษณานั่นเลย ก็เข้าใจนะการเป็นพ่อเป็นแม่นี่มันมีอะไรให้ทำให้รับผิดชอบมากมายเหลือเกิน การดูแลเด็กคนหนึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่าย บางทีเบื่อแสนเบื่อ เหนื่อยแสนเหนื่อย งานบ้านที่ทำยังงัยก็ไม่จบไม่สิ้น เก็บแล้วก็รื้อออกมาเล่น รกกระจายเต็มบ้าน ถึงจะสอนให้รู้จักเล่นแล้วเก็บ ก็ยังต้องคอยมาปัดกวาดเช็ดถูอยู่ดี ไม่ว่าจะทำอะไรลูกก็ต้องมาคอยวุ่นวาย กวนใจ อีกทั้งมีคำถามทำไม เพราะอะไรอยู่ตลอดเวลา จนบางทั้งเบื่อและหงุดหงิด ตอบคำถามแบบตัดรำคาญบ้าง บางทีก็ปรี๊ดแตกตะวาดลูกกระเจิงไปบ้าง


หลังจากได้ดูโฆษณาตอนจบซึ่งแอบซึ้งเล็กๆ แล้วก็กลับมาคิดได้ว่า ในชีวิตเรามีอะไรมากมายให้คิด ให้ทำ มีอะไรมากมายให้รับผิดชอบ มีผู้คนมากมายให้เราติดต่อพูดคุย มีอะไรมากมายที่เราต้องทำ และต้องให้ความสำคัญ แต่...ลูกของเรา ทั้งชีวิตของเค้ามีแค่เราเท่านั้น พ่อและแม่เท่านั้นคือคนสำคัญที่สุดในชีวิต เค้าถึงได้มองหาเราตลอดเวลา เค้าไม่ได้ต้องการอะไรจากเรามากมาย นอกจากความรัก และเวลา เพราะฉะนั้นการให้เวลาที่มีคุณภาพกับลูกจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ถ้าเราจะเอาอะไรมาทดแทนเวลาที่เราให้เค้าไม่ได้ในบางช่วง เราก็ควรจะหาสิ่งที่ดีที่สุดให้เค้าได้เล่น หรือได้ทำค่ะ


หลังจากที่คุณ Gerald Cai ได้แนะนำ  Samsung KidsTime จบแล้วก็เป็นการสัมภาษณ์พูดคุยกับคุณอ้อม พิยะดา กับน้องนาวา เกี่ยวกับการเลี้ยงดูน้อง  และการใช้งาน Smart device โดยคุณอ้อมกล่าวว่าได้ให้น้องได้เปิด ได้เล่นบ้าง ไม่ได้ห้ามไม่ให้เล่นเลย เพราะกลัวว่าลูกจะตามเพื่อนไม่ทัน เวลาเพื่อนพูดถึงเรื่องการ์ตูน หรือเจ้าหญิงต่างๆ กลัวว่าน้องจะไม่รู้จักคุยกับเพื่อนไม่รู้เรื่อง โดยตัวเองจะเลือกการ์ตูน หรือแอพพลิเคชั่นที่เหมาะสมสำหรับเด็ก เช่น การ์ตูน หรือแอพลิเคชั่นที่ช่วยในเรื่องการฝึกภาษาและการออกเสียง การฝึกสำเนียงภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง น้องนาวาเป็นเด็กฉลาด พูดเก่ง มาก เนื่องจากคุณแม่พาไปกองถ่าย ไปทำงานด้วยตลอด เลยทำให้น้องกล้าพูดกล้าแสดงออกและไม่กลัวคน ซึ่งนับว่าเป็นการถ่ายทอดประสบการณ์การเลี้ยงลูกที่ดีทีเดียวค่ะ จบการสัมภาษณ์ก็เป็นการเล่นเกมตอบคำถามชิงรางวัลให้กับผู้มาร่วมงาน และถ่ายภาพที่ระลึกร่วมกัน บรรยากาศสนุกสนานเป็นกันเองมากค่ะ

Samsung Kidstime เป็นการสมัครใช้บริการแบบรายเดือน โดยจะมีเนื้อหาใหม่ๆ เข้ามาทุกเดือน และไม่มีโฆษณาที่เป็นอันตรายต่อการซื้อขายภายในแอพ สำหรับโทรศัพท์ที่สามารถใช้งาน Samsung kidstime ได้แก่ Samsung รุ่น S4, S5, Galaxy Note 4, Galaxy Note 3 และ Tablet รุ่น Galaxy Tab S, Galaxy Tab 4 series และ Galaxy Tab 3

ขอบคุณบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด ที่เชิญแม่แหม่มและน้องมามิมาร่วมงานเปิดตัวแอพพลิเคชั่น Samsung KidsTime ขอบคุณสำหรับของขวัญวันเกิดสุดพิเศษ Galaxy Tab 4 พร้อมแอพพลิเคชั่น Samsung KidsTime ที่ถูกใจแม่แหม่มและน้องมามิมากๆ เลยค่ะ มีแค่แอพนี้แอพเดียวคุ้มเกินคุ้ม มีทุกสิ่งที่เด็กชอบทั้งเกมส์ และหนังสือเลยค่ะ

ดูว่าทำไมเวลาเล่นจึงเป็นเวลาสำคัญ : Watch why playtime matters (โฆษณาตัวใหม่ของซัมซุง)

ลิงค์สำหรับดาวน์โหลดแอพ : Link to download app @ Google Play Store
https://play.google.com/store/apps/details?id=com.samsung.kidstime&referrer=utm_source%3D%26utm_medium%3D%26utm_term%3D_%26utm_content%3D_Imami_Launch_Google Play%26utm_campaign%3DThailand___

ลิงค์ไปเว็บไซต์ : Link to KidsTime Website
http://www.samsungkidstime.com/?referrer=utm_source%3D_%26utm_medium%3D%26utm_term%3D_%26utm_content%3D_Imami_Launch_Website%26utm_campaign%3DThailand___

ดูว่าทำไมเวลาเล่นจึงเป็นเวลาที่สำคัญ. Watch why playtime matters.

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

กระทงแครกเกอร์ อร่อย ประหยัด


ลอยกระทงปีที่แล้วทำกระทงจากหัวปลี มาปีนี้ตอนแรกตั้งใจจะทำกระทงหัวปลีอีกครั้ง แต่เมื่อวันอาทิตย์ไปเดินตลาด หาหัวปลีไม่มีเลย เลยมานั่งคิดว่าจะทำกระทงจากวัสดุธรรมชาติอะไรดีนะ กระทงจากเปลือกข้าวโพดจะไปหาจากไหนยากไป เปิดดูไอเดียทำกระทงเจอว่าเทรนด์ใหม่ปีนี้ เป็นกระทงที่ทำจากโคนไอศกรีม เก๋ไก๋มาก เห็นแล้วคันไม้คันมืออยากทำขึ้นมาเลย

หลังจากส่งมามิไปโรงเรียนเสร็จและเข้าซุปเปอร์มาเก็ตทันที เดินหากรวยไอศกรีมซึ่งในใจคิดแล้วว่าไม่น่าจะมี เดินไปเดินมาไปหยุดที่ชั้นขนมกรอบพวกบิสกิต แครกเกอร์ วาฟเฟิล เลยหยุดคิด ดูไปดูมาลักษณะเป็นรแผ่นๆ คล้ายๆ กลีบกระทงน่าจะลองเอามาทำกระทงได้

กระทงทำจากขนมปังก็มีแล้ว กรวยไอศครีมก็มีแล้ว เอ๊า!! ลองทำกระทงจากแครกเกอร์ และวาฟเฟิลละกัน มาเริ่มกันเลยค่ะ



สิ่งที่ต้องเตรียมในการทำกระทงแครกเกอร์
1. แครกเกอร์
2. วาฟเฟิล
3. จานกระดาษ กระดาษแข็ง หรือกระดาษลัง
4. กาว
5. คอตตอนบัด
6. กะลามะพร้าว


ก่อนลงมือทำขอหม่ำก่อนนะคะ

วิธีทำกระทง
1. นำจานกระดาษไปวัดให้ได้เท่ากับขนาดของกะลามาพร้าว แล้วตัดเป็นรูปวงกลม
2. นำแครกเกอร์ และวาฟเฟิลไปวางติดลงบนกระดาษด้วยกาวลาเทกซ์ วางเรียงให้สวยงาม ตกแต่งได้ตามใจชอบ (ไม่ควรทากาวลงบนวาฟเฟิลให้ชุ่มเกินไปเพราะจะทำให้ชื้นและเหี่ยวและเสียรูปทง แค่วางแผ่นวาฟเฟิลลงบนช่องว่างระหว่างแครกเกอร์ก็สามารถตั้งได้แล้ว หรือจะใช้เป็นแครกเกอร์ทั้งหมดเลยก็ได้ โดยวางลงไปแทนวาฟเฟิลจำนวน 4 ชิ้นเท่ากัน)
3. นำกะลามาพร้าวมารองด้านในด้วยกระดาษเป็นฝอยๆ หรือกระดาษทิชชู่ ถ้าไม่มีกะลามะพร้าวใช้กระดาษลังซ้อนกันสองสามชั้นใช้กาวติด ทำเป็นฐานกระทงแทนกะลาก็ได้ค่ะ
4. เมื่อตกแต่งกระทงเสร็จเรียบร้อยแล้วก็นำไปวางลงในกะลา
5. ตกแต่งด้วยธูปเทียนปักไว้ตรงกลาง หากลีบดอกไม้สีสวยๆ มาวางไว้รอบๆ กระทง เพื่อให้มีสีสันสวยงามก็ได้ค่ะ
6. เท่านี้ก็ได้กระทงแครกเกอร์ที่สวยงามของหนูก็เสร็จเรียบร้อย






การทำกระทงด้วยฝีมือของตัวเองเป็นการสอนให้ลูกได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ รู้จักประยุกต์ใช้สิ่งรอบๆ ตัว มาสร้างสรรค์ผลงานศิลปะเฉพาะตัวที่แปลก แตกต่างไปจากคนอื่น อีกทั้งยังทำให้ลูกได้เรียนรู้ถึงประเพณีลอยกระทงซึ่งเป็นประเพณีที่ดีงาม และเป็นเอกลักษณ์ของไทย โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถเล่าให้ลูกฟังถึงประวัติความเป็นมาของประเพณีลอยกระทงไปด้วยและทำกิจกรรมร่วมกันไปด้วย

ลอยกระทงปีนี้ มามิกับโมโม่มีกระทงที่ทำเอง สวยงาม และไม่เหมือนใคร ราคาที่ไม่แพง แครกเกอร์ที่ซื้อมายังใช้ไปไม่หมด เก็บไว้กินต่อได้อีก นำไปลอยในน้ำเป็นอาหารปลา อิ่มทั้งปลา อิ่มทั้งคน ราคาถูกกว่ากระทงที่มีขายทั่วไป ประหยัดเงินในกระเป๋าแม่ไปได้เยอะเลยค่ะ

ไม่ยากเลยใช่ไม๊คะ กระทงแครกเกอร์ของมามิ โมโม่ คุณพ่อคุณแม่ทานไหนอยากลองไปทำกับลูกกันดูได้นะคะ วัสดุอุปกรณ์ก็หาได้ง่าย แค่เดินไปร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ บ้าน มานั่งทำกันไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็เสร็จแล้วค่ะ

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

ชวนมาดื่มกาแฟกัน 3 in 1 หอม หวาน ละมุนละไม



วันก่อนไปเดินซุปเปอร์มาร์เก็ต คุณพ่อบ้านไปลองชิมกาแฟสาธิตยี่ห้อหนึ่งถึงกับติดใจ ถึงกับซื้อติดมือกลับมาด้วยหนึ่งห่อใหญ่ ยิ่งพวกกาแฟแบบ 3 in 1 บ้านนี้ไม่ค่อยได้ดื่มเลย จะดื่มก็เฉพาะตอนไปเที่ยวต่างจังหวัด คือพกเอาไว้ดื่มแก้ขัด แม่แหม่มก็เลยแปลกใจ เลยคิดว่าจะขอชิมซักหน่อยว่าเป็นยังไง
กาแฟที่ว่านี้คือ ซุปเปอร์บราวน์คอฟฟี่ เป็นกาแฟตัวใหม่ของซุปเปอร์คอฟฟี่ แบรนด์ที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ตามหน้าซองเขาว่า ใช้น้ำตาลทรายแดงหรือบราวน์ชูการ์ เป็นส่วนประกอบ พอฉีกซองออกมายอมรับเลยว่า กลิ่นแปลกไปกว่ากาแฟ 3in1 ทั่วๆ ไป กลิ่นมันหอมแบบเบาๆ เลยจัดการชงใช้น้ำร้อนปกติ พอละลายน้ำเท่านั้นแหละ กลิ่นของกาแฟยิ่งชัดขึ้น มันจะหอมแบบกลมกล่อมเหมือนคาราเมลเบาๆ เลยต้องลองจิบช้าๆ รสชาติก็ยิ่งใช่เลย เป็นเหมือนกาแฟในร้านหรูๆ ที่เราชอบไปนั่งจิบกาแฟกัน ทั้งกลิ่น ทั้งรส มันละมุนละไม กลมกล่อมไปหมด



เลยถามคุณพ่อบ้านว่ามันเป็นมายังไง ก็พอได้ใจความว่า ปกติร้านกาแฟดีๆ เขาจะมีให้เลือกนะว่าจะเติมน้ำตาลทรายขาว หรือน้ำตาลทรายแดง (บราวน์ชูการ์) ถ้าคอกาแฟจริงๆ มักจะเติม บราวน์ชูการ์ เพราะมันจะเป็นน้ำตาลที่ไม่ได้ผ่านการฟอกสีซึ่งจะดีต่อสุขภาพ แล้วบราวน์ชูการ์เองก็จะช่วยขับให้รสชาติกาแฟดีขึ้น เพราะตัวน้ำตาลเองจะมีกลิ่นหอมแบบธรรมชาติ ทำให้ไม่ไปรบกวนกลิ่นของกาแฟที่เข้มข้น ช่วยให้กลิ่นหอมละมุนมากขึ้น ซุปเปอร์บราวน์คอฟฟี่เลยเป็นกาแฟแบรนด์แรกเลยที่ใช้บราวน์ชูการ์เป็นส่วนผสมในกาแฟ 3in1 สุดยอดมาก ขนาดที่คอกาแฟอย่างพ่อบ้าน ที่ไม่ชอบกาแฟ 3in1 ยังรีบซื้อมาลองทีเดียว


 ก็เลยได้ความรู้ใหม่ของคอกาแฟว่า รสชาติกับกลิ่นเป็นอะไรที่ต้องไปด้วยกัน กาแฟจะกลมกล่อมวัตถุดิบต้องเข้ากันได้ กาแฟดีอาจจะไม่ต้องแพงมาก แค่ถูกลิ้นถูกคอถูกใจคอกาแฟก็สร้างความพึงพอใจได้แล้ว แต่ดูๆ ไปแล้ว เดี๋ยวนี้แม่แหม่มว่าการกินกาแฟมันมีองค์ประกอบมากกว่านั้นเยอะ บางทีเรื่องรสชาติอาจจะไม่สำคัญเท่าบรรยากาศ แบรนด์ และสถานที่ซะแล้ว ใช่หรือเปล่า อันนี้ต้องถามคอกาแฟที่ชอบไปต่อแถวกันในร้านดังแล้วค่ะ แต่สำหรับแม่แหม่มแล้วได้ลองซุปเปอร์บราวน์คอฟฟี่ แล้วให้ความรู้สึกดี เหมือนนั่งอยู่ในร้านกาแฟเลยค่ะ

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557

เพราะเด็กไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่ตัวเล็ก จึงต้องการการดูแลเป็นพิเศษ


เริ่มเข้าหน้าฝนทีไร ก็มักได้ข่าวคราวคนรู้จักเจ็บไข้ได้ป่วยกัน บางคนก็เลือกกินยาเอง บางคนก็เลือกไปคลีนิค แต่บางคนก็เลือกไปโรงพยาบาลกัน แตกต่างกันไปอาจจะด้วยหลายสาเหตุ คนที่กินยาเองก็อาจจะคิดว่านิดหน่อยไม่เป็นไรเดี๋ยวก็หาย คนที่ไปคลีนิคก็บอกว่าสะดวกดี รอไม่นานแถมยาบางตัวก็ถูกกว่าโรงพยาบาล ส่วนคนที่ไปโรงพยาบาลก็บอกว่าอยากจะให้หายขาด และบางคนก็เบิกประกันได้ ทุกอย่างมีเหตุผล และปัจจัยหลายอย่าง

แต่บางเรื่องราวก็อาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด บางครั้งที่ลูกป่วยเราเองก็อยากให้เด็กอธิบายให้ละเอียดจะได้รู้ว่าซีเรียสขนาดไหน แต่บางทีเด็กก็อธิบายไม่ได้ ก็เลยต้องอาศัยคุณหมอเป็นคนลำดับอาการ ตรวจดูว่ามีความผิดปกติอย่างไร แม่แหม่มถึงเลือกที่จะไปโรงพยาบาล ในอาการที่มันไม่แน่ชัด เพราะบางทีอาการที่เราคิดว่าไม่ร้ายแรง แต่จริงๆ แล้วอาจจะหนักหนากว่าที่คิด อย่างประสบการณ์ที่แม่แหม่มเคยพบเห็นมากับครอบครัวของน้องสาวของปะป๊า

เรื่องเกิดขึ้นเมื่อเกือบๆ เจ็ดปีมาแล้ว ลูกคนเล็กของน้องสาวปะป๊า เมื่อตอนอายุได้สองขวบมีอาการเดินไม่ตรง เซบ้าง บางทีก็ล้มแผละ หนักเข้าก็ร้องให้อุ้มตลอดเวลา ไม่ยอมเดิน แรกๆ ก็คิดว่าอ้อนแม่ แต่พอมากขึ้นก็เลยคิดว่าอาจจะเป็นอะไรที่กระดูกขา ก็เลยพาไปตรวจที่โรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์ ไปพบกับผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูก ซึ่งเอ็กซเรย์แล้วก็ไม่พบความผิดปกติ แต่คุณหมอสังเกตว่าขนาดศีรษะของน้องใหญ่กว่าปกติ ก็เลยขอวัดดู ก็เห็นว่าเกินมาตรฐาน บวกกับอาการทั้งหลายที่เกิดขึ้น เลยบอกคุณแม่ให้ลองปรึกษากับแพทย์ทางด้านสมอง

ครั้งแรกที่ได้ฟังก็งงๆ ว่าไม่น่าจะเกี่ยวกันแต่น้องสาวของปะป๊าก็ลองทำตามดู เพื่อจะได้รู้ปัญหา พอพบกับคุณหมอเท่านั้นแหละ เจอสั่งให้ MRI สมอง รอผลอยู่ครึ่งวัน พร้อมกับตรวจอาการต่างๆ สรุปว่าน้องมีเนื้องอกที่สมอง ซึ่งไปกดทับช่องทางระบายน้ำในสมอง ทำให้ศีรษะบวมน้ำ ต้องรีบผ่าตัด เพื่อระบายน้ำออก ก่อนที่น้ำในสมองจะไปดันสมองส่วนอื่นๆ ให้เสียหาย

ทุกคนช็อค แต่ก็ตั้งสติรีบดำเนินการทั้งหมดด้วยความรวดเร็ว ผ่าตัดสมองในเด็กสองขวบ เป็นเคสที่สุดจะบรรยายของคนเป็นพ่อแม่ ตอนนั้นแม่แหม่มยังไม่มีมามิ โมโม่ ก็ยังรับรู้ได้ถึงความทุกข์ระทมของคนเป็นพ่อแม่ได้ ก็ได้แต่ให้กำลังใจอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายแล้วหลังจากอยู่โรงพยาบาลร่วมเดือน และเข้าออกผ่าตัดแก้ไขท่อระบายน้ำในสมองอยู่สองครั้ง ทุกอย่างก็เข้าสู่ภาวะปกติ น้องกลับมาเป็นเด็กร่าเริงเหมือนเดิม อาจจะมีอาการเก็บตัว กลัวคนแปลกหน้าอยู่บ้าง แต่เมื่อพาเข้าสังคมบ่อยๆ อาการเหล่านี้ก็หายไป


บทเรียนเรื่องนี้สอนแม่แหม่มอยู่เสมอว่า บางครั้งอาการเจ็บป่วยในเด็กเล็ก ซึ่งเรามองไม่ออกว่าเกิดจากอะไร การไปพบผู้เชี่ยวชาญแต่เนิ่นๆ ก็จะทำให้ปัญหาทั้งหลายคลี่คลายได้อย่างรวดเร็ว เพราะบางครั้งเวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็อาจจะหมายถึงสายเกินไป อย่างเรื่องที่เล่าไป ถ้าเกิดน้องสาวของปะป๊าชะล่าใจ ไม่ยอมพาไปโรงพยาบาล หรือว่ามีพี่เลี้ยงที่ตามใจ ยอมอุ้มให้ตลอดเวลา อาการเตือนที่ปรากฏให้เห็น ก็จะถูกละเลย จนสายเกินไปจริงๆ และต้องขอบคุณโรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์ และคุณหมอ ที่ได้ใช้ความเชี่ยวชาญ และให้คำแนะนำที่ดี สร้างขวัญและกำลังใจให้กับครอบครัวที่ต้องเผชิญหน้ากับข่าวร้ายอย่างนี้


ขอเล่าให้ฟังเกี่ยวกับโรงพยาลเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับคุณพ่อ คุณแม่ในการพิจารณาเลือกโรงพยาบาลให้ลูกนะคะ ก่อนนี้ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ มีโรงพยาบาลเด็ก สมิติเวช ศรีนครินทร์ เปิดอยู่ภายในด้วย แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็น “โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ Samitivej International Children’s Hospital” ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเด็กเอกชนแห่งแรกของประเทศไทย มีกุมารแพทย์เฉพาะทางด้านต่างๆ สำหรับเด็ก (ร่วม 150 ท่าน) ซึ่งเรียกได้ว่าสามารถรองรับการรักษาโรคได้ในเด็กได้อย่างครบวงจร แม้จะเป็นโรคยากๆ ในเด็ก เช่น การผ่าตัดหัวใจ การเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก เป็นต้นค่ะ

และตอนนี้โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล มี 2 สาขา สาขาแรกอยู่ภายในโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ และอีกสาขาอยู่ในโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ภายใต้คอนเซ็ปต์ Hospital in the Hospital คุณพ่อคุณแม่ท่านไหนที่สนใจสามารถเข้าดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์นะคะ: http://www.internationalchildrenshospital.com


การเลือกสถานพยาบาลเมื่อลูกเจ็บป่วยเป็นสิ่งสำคัญ ควรจะพาลูกไปโรงพยาบาลเด็กโดยเฉพาะจะดีกว่า เพราะจะมีทีมแพทย์ และบุคคคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่สามารถดูแลให้คำปรึกษาเราได้เป็นอย่างดี มีสถานที่ที่เหมาะสม สะอาดสะอ้าน และมีเครื่องไม้เครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับเด็กโดยเฉพาะ

บางคนลูกเจ็บป่วยขึ้นมาก็คิดว่าพาไปคลีนิคก็ได้ ค่าใช้จ่ายถูกกว่าไปโรงพยาบาลเยอะเลย แต่คลีนิคที่ไม่มีแพทย์เฉพาะที่ทำการรักษาเด็กโดยตรง อาจจะวินิจฉัยไม่ตรงกับสาเหตุ แทนที่จะหายกลับเป็นเรื้อรัง กลับไปหาอีกหลายครั้ง สุดท้ายไม่หาย ก็ต้องไปโรงพยาบาลอยู่ดี  และการพาลูกไปโรงพยาบาล ไม่ใช่แค่ในยามที่ลูกเจ็บป่วย ควรพาลูกไปพบปะแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ และเพื่อรับคำปรึกษาในเรื่องของพัฒนาการ และโภชนาการของเด็กด้วยค่ะ


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเชียร์ให้ทุกคนไปโรงพยาบาลกัน เพียงแต่เมื่อไม่แน่ใจในอาการก็อย่าลังเลที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ การไปโรงพยาบาลก็ควรจะไปในขณะที่เรายังเดินไปได้ ไม่ต้องรอให้หามเข้าไปใช่ไหมคะ